ทีปะวลี ลอยกระทงแขก

                                                                                   
คืนแห่งเดือนมืดมิด อมาวาสยา ในวันที่ 15 ของเดือนการติก (ตุลาคม-พฤศจิกายน) มีเทศกาลหนึ่งชื่อ ทิวาลี (Diwali) หรือ ทีปะวาลี(Deepavali)ในเมืองไทยจะตรงกับวันสุดท้ายที่สิ้นสุดวันกฐิน
                                                                                                          
คำว่า ทิวาลี นี้เข้าใจว่าน่าจะเป็นชื่อที่เรียกย่อมาจาก คำว่า ทีปะวลี หมายถึง ตะเกียงที่ประดับเป็นสาย ในแต่ละบ้านจะจุดประทีปที่ทำมาจากดินเผาไส้ประทีบ ทำมาจากสำลีฟั่นและจุดโดยน้ำมันคัสตาส หรือน้ำมันพืชเป็นเชื้อเพลิง จะไม่ใช้น้ำมันก๊าชหรือน้ำมันเชื่อเพลิงแต่อย่างใด  เนื่องจากว่าเป็นคำคืนแห่งเดือนมืด ที่มืดก็คงเป็นเพราะไฟฟ้าดับด้วย เพราะที่เมืองพาราณสีไฟดับบ่อยๆ หรือเป็นช่วงต้นๆ ของการต้อนรับฤดูหนาว ท้องฟ้ามืดมิด บวกกับไฟฟ้าดับ

                                                         

ชาวฮินดูเขามีความเชื่อว่าพระลักษมีจะมาสถิตอยู่ในตะเกียงน้ำมันนั้น ทั้งนี้จะวางประทีบไว้รอบบ้านหรือร้าน เพื่อเป็นการบูชาแด่พระลักษมีผู้เป็นพระชายาของพระวิษณุ ที่จะมาเสด็จเยือนแต่ละบ้าน นอกจากจะบูชาด้วยประทีปแล้ว ยังมีเครื่องบูชาอันประกอบด้วยขนมปังกรอบหรือหากไม่สะดวกหาที่ไม่กรอบก็ได้และขนมต่างๆ (ที่ยังไม่หมดอายุ) อีกนัยหนึ่งเป็นการต้อนรับการกลับเมืองอโยธยาของพระราม พระลักษณ์ และนางสีดาหลังจากรบกับราวัลย์ชนะจากเทศกาล ดุสเสฮรา และได้กลับมาจากเมืองลงกา ปัจจุบันนี้คาดว่าน่าจะเป็นประเทศศรีลังคา (ออกเสียงแบบฝรั่ง) หากจบ กศน.ที่วัดโคก ออกเสียงเป็นศรีลังกาาาาาา
                                                       
เนื่องจากเทศกาลนี้คล้ายๆ กับลอยกระทงบ้านเราเป๊ะเลย ประชาชนแขกเขาจะจุดประทีบเป็นการต้อนรับ ทุกที่ในหมู่บ้านและชุมชนจะสว่างไสวไปด้วยแสงตะเกียง พวกเด็กๆจะออกมาเล่นประทัดและจุดดอกไม้ไฟตลอดทั้งคืนเป็นการต้อนรับเทพเจ้าที่มาเยี่ยมเยือนบ้านเรือนของตน

                                                          
โดยเฉพาะที่ริมฝั่งคงคา จะมีมหรสพต่างๆ เช่นพิธีบูชาแม่น้ำคงคา ไหลเรือไฟ (มีเป็นบางปี) บางปีคนเยอะมากๆๆๆๆ บางปีคนก็มีบ้าง สรุปแล้วก็คือคล้ายๆเป็นงานลอยกระทง ส่วนกระทงของเขาก็เป็นกระทงเล็กๆ ทำด้วยใบไม้ และมีดอกดาวเรืองวางอยู่ด้านในสองหรือสามดอก และจะมีพวกเด็กที่ขายกระทง จะมาตามตื้อ พูดภาษาอังกฤษคล่องเสียด้วย ตะโกนแหกปาก 2 อัน 10 รูปี บางคนก็มาสะกิดอยู่ข้างๆ 

ผมเคยซื้อครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว เกือบจำไม่ได้ 2 อัน 10 รูปีนี้แหละ ต่อราคาเด็ก ที่ต่อก็ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะสงสารเด็ก 2 อัน 7 รูปีได้ไหม เด็กบอกไม่ได้ เพราะค่าครองชีพมันแพง เราก็ทำท่าจะเดินหนี ด้วยความที่เขาผ่านโลกมาน้อย เห็นเราทำท่าไม่เอาจริงๆ ก็เลยลดให้ 2 อัน 7 รูปี ยื่นแบงค์ 10 รูปีให้ เด็กบอกว่า ไม่มีเงินทอน ทำไงดีหล่ะ ในเมื่อไม่มีเงินทอน 3 รูปี ช่วยชีวิตเด็กขนรูจมูกดำๆคนหนึ่ง ช่างเถอะ ตกลงก็ไม่ได้ค่าลงค่าลดพอดี 2 อัน 5 รูปี เพื่อนที่ไปด้วยกันก็ยื่นเงินให้ เออจริงๆ ผมไม่ได้ซื้อเองหรอก เพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นคนซื้อ                                        
                                                           

---ผ่านไปสักพักหนึ่งไม่ถึง 2 นาที เด็กคนนั้น มันก็เดินไปเดินมา และล้วงเอากระเป๋าที่ซ่อนเอาไว้ ล้วงออกมา โอ้โห้ มีแต่ตังค์เหรียญ ก็ไหนบอกว่าไม่มีเงินทอน แสบจริงๆ......และยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้มันคงจะเบลอๆทำงานหนักหรือเมายากันยุงก็ไม่รู้ มันคงจะจำลูกค้าไม่ได้ ดันมาถามแลกเงินกับเราอีก อยากจะจูงไปที่หลับหูหลับตาผู้คน แล้วจับมันสระผมจริงๆ เพราะดูแล้ว มันคงไม่ได้อาบน้ำมาหลายสัปดาห์ 

                                                        
เป็นที่น่าเสียดาย ช่วงหลังๆหลายปีมานี้ งานลอยกระทงแขก ผมไม่ค่อยได้ไปดู  นอนอยู่ในห้องสบายใจกว่า...หากไปดูวันแรก คนก็เยอะ ฝุ่นก็เยอะ ก็เลยอดทนนอนรอ ไปดูวันสุดท้ายแทน
                                                         
                                                    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น