เรียนภาษาอังกฤษอย่างไรให้เก่ง โดยไม่มีครูสอน

 
                                                
                                                                          
คนไทยมักจะมีลักษณะอย่างหนึ่งคือเป็นคนขี้อาย ความขี้อายบางครั้งก็เป็นอุปสรรคสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษอย่างหนึ่งเหมือนกันนะครับ หากคิดจะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล ควรจะตัดสิ่งเหล่านี้ออกไป สังเกตคนที่เรียนภาษาอังกฤษและพูดได้ดี เขามักจะมีความมั่นใจในตัวเองสูง ผิดถูกไม่สำคัญ ขอแค่ให้ได้พูดและแสดงออก หากมัวแต่อาย กลัวคนอื่นจะล้อว่า หมอนี่ ยัยนี่ 11 ร ด (แรด) อยากให้ปรับทัศนคติหรือคิดเสียใหม่ครับ เราเก่งภาษาอังกฤษได้โดยไม่จำเป็นต้องพูดหรือสำเนียงเหมือนฝรั่งเป๊ะ แต่ให้ออกเสียงเหมือนอย่างที่ฝรั่งเขาออก หากคิดจะดัดจรงดัดจริต ก็ขอให้อยู่ในขอบเขต ไม่ใช่ดัดจนเกินเป็นฝรั่งไป แม้แต่ฝรั่งก็ฟังไม่รู้เรื่อง ใครที่เคยขึ้นเครื่องบิน บ่อยครั้งที่เรามักจะรำคาญเวลาพวกกัปตันพูดภาษาอังกฤษ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แม้แต่ฝรั่งก็ฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดว่าอะไร  จริงๆอีกเรื่องหนึ่ง ที่คนไทยหรือชาติไหน ไม่ควรจะกังวลนั่นก็คือสำเนียง ไม่ว่าคุณจะพูดภาษาอังกฤษอย่างไร คุณก็จะไม่พ้นอังกฤษสำเนียงไทย เช่นคนญี่ปุ่น เขาก็มีสำเนียงภาษาอังกฤษแบบญี่ปุ่น สิงคโปร์ เขาก็มีสำเนียงภาษาอังกฤษของคนสิงคโปร์ จีน ฝรั่งเศสทุกชาติมีเอกลักษณ์ลิ้นของตัวเอง เป็นต้น หากไม่เชื่อ คุณลองให้ฝรั่งคนไหนก็ได้ ที่พูดไทยได้ชัดๆ ลองพูดประโยคเหล่านี้ดูสิครับ "หมวยสวยดีแต่ถ้าไม่หมวยก็คงเป็นคนซวยถ้าไม่สวยและรวย" รับรองว่าฝรั่งคนนั้นลิ้น ออกสำเนียงไม่เป็นเลยทีเดียว มีข้อยกเว้นอย่าง หากคนไทยคนไหน ได้รับการเรียน และการฝึกฝนจากสังคมรอบข้างที่เป็นฝรั่ง สำเนียงไทยของเขาอาจจะเบาบางลงบ้าง จากแม่แบบที่เขาได้รับการเรียนรู้จากการฟังจากเจ้าของภาษา

เคยเห็นคนพูดภาษาอังกฤษไหม บางคนพูดจีบปากจีบคอ เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ แต่นั่นคือธรรมชาติของการพูดภาษาอังกฤษ การพยายามทำเสียงให้เหมือนฝรั่งไม่ใช่เสียงที่น่าอายครับ แต่ที่น่าอายกว่า ก็คือ พูดภาษาอังกฤษแล้ว ฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง (เป็นเพราะเราไม่ได้ออกเสียงเหมือนอย่างที่เขาออก เช่น Menu คนไทยออกเสียง เมนู ฝรั่งออกเสียง เป็นเมนิว อันที่จริงมีศัพท์ค่อนข้างเยอะมากนะครับ ที่เป็นภาษาอังกฤษแบบไทย สำเนียงไทย ) คนที่พูดกับฝรั่งเวลาคุยภาษาไทยด้วยกันจะเข้าใจความรู้สึกนี้ เวลาฝรั่งออกเสียงไม่ชัด คอชอนา (โฆษณา) บางครั้งเราก็ได้ยินเหมือน เป็น ก.ศ.น. (การศึกษานอกโรงเรียน) ทำให้การเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ ทำให้เราไม่ค่อยเข้าใจว่า เขาหมายถึงอะไร เพราะเขาออกเสียงเพี้ยน คนไทยก็ออกเสียงผิดเยอะนะครับ เช่น I eat lice ฉันกินเห่า จริงๆ แล้วอยากบอกว่า I eat rice ฉันกินข้าว Phuket Iceland เกาะน้ำแข็งภูเก็ต จริงต้องเป็น Phuket Island เหมือนกับประโยคหนึ่งที่คนไทยชอบถามฝรั่งนั่นก็คือ Do you like Thai foot (food) คุณชอบตีนของคนไทยไหม จริงๆ อยากจะถามเขาว่า ชอบอาหารไทยไหม อีกคำหนึ่งที่ได้ยินบ่อยๆ  Please hell me (help) ได้โปรดทำให้ฉันตกนรกที

ภาษาอังกฤษอาจจะไม่ใช่ภาษาที่คนไทยส่วนใหญ่พูดกัน แต่หากใครพูดได้ ผมเชื่อแน่ว่า อย่างน้อยๆ คุณเดินไปไหน คุณจะไม่กลัวเลยหากมีฝรั่งมาถามทาง ขอคำชี้แนะบางอย่าง และการไปสมัครงานที่ไหนก็ย่อมได้เปรียบกว่าคนที่พูดได้แค่ภาษาไทย โลกทุกวันนี้มันแคบลงมากนะครับ ดูได้จากข้อมูลข่าวสารทุกวันนี้ หรือในอินเตอร์เน็ท หากคุณได้แค่ภาษาไทย ความรู้และวิสัยทัศน์ของเราก็จะได้รับรู้และได้อ่านเฉพาะข่าวสารและข้อมูลที่เป็นภาษาไทย ปัจจุบันแค่ภาษาอังกฤษอาจจะยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ก็เป็นอีกภาษาที่น่าให้บุตรหลานเรียน

ผมนับว่าโชคดีที่ได้เพื่อนฝรั่งช่วยเหลือในหลายๆด้านที่เป็นเพื่อนร่วมห้องคอยเตือนเวลาใช้คำพูดผิด บางคนได้ไปเที่ยวรอบโลกมาแล้ว ผมก็ได้เที่ยวรอบโลกกับเขาด้วย จากการได้พูดคุย ได้รับรู้ว่าบ้านเมืองเขาเป็นอย่างไร ได้รู้ว่าประเทศเปรูเป็นอย่างไร ทั้งที่ตัวเองไม่เคยไป และแตกต่างจากเมืองไทยอย่างไร เป็นการเปิดรับข้อมูลจากคนต่างชาติโดยตรง และทำให้เรามีวิสัยทัศน์กว้างมาก โดยเฉพาะข่าวสารทางทีวี หนังสือพิมพ์ เพราะภาษาที่เขาใช้กันส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษ หากคุณฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง แค่อยู่หน้าจอทีวี คุณก็รับรู้ข่าวสารทั่วโลกได้จาก CNN, BBC News แต่สำหรับคนที่เพิ่งหัดเรียน ยังไม่อยากแนะนำให้ดู CNN, BBC News นะครับ เพราะมันเป็นศัพท์ที่ยาก และไว ฟังแล้วก็เหมือนไม่ได้ฟัง ได้แต่สำเนียง แต่การพัฒนาภาษาไม่ได้ เพราะว่าคุณฟังไม่รู้เรื่อง เหมือนกับว่าไม่ได้เรียนอะไรเลย  ปัจจุบันนี้หากคุณมีอินเตอร์เน็ท มีเว็บเป็นจำนวนมากที่เราสามารถโหลดเอาโปรแกรมข่าวและมีสคลิปให้เราได้มาอ่านด้วย โหลดมาฟังเถอะครับ ใช้อินเตอร์เน็ทและเทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ ฟังการออกเสียง ศัพท์บางศัพท์ ฟังดูสิว่าเขาออกเสียงอย่างไร เพราะส่วนมากเนื้อหาข่าวจะเป็นศัพท์ที่เราสามารถนำเอาไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เช่นคำว่า interesting, interested in, practice, practice เป็นต้น สังเกตว่า ส่วนมากเป็นศัพท์ที่เราสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวันได้เลย

หากคุณเข้ามาอ่านบทความของผมได้ จะรีบมัวช้าอยู่ใย เข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แล้วรีบโหลดเอามาฟัง ทำให้เป็นนิสัย และรักที่คิดจะเรียน ผมไม่ได้ดูถูกนะ คนที่มัวแต่คิดว่าจะทำอย่างไรฉันจะเก่งภาษาอังกฤษ ส่วนมาก จะมีแรงฮึดสู้ไม่เกิน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะไม่มีแรงจูงใจในการเรียน ส่วนคนที่อยากจะเรียนจริงๆ อยากเก่งจริงๆ เขาจะไม่มาเสียเวลากับการตั้งคำถามว่า ทำอย่างไรถึงจะเก่ง นี่คือความแตกต่างแห่งความสำเร็จของคน


การเรียนภาษาอังกฤษแต่ละคน อาจจะมีปัญหาไม่เหมือนกัน บางคนสามารถพูดกับฝรั่งได้เป็นวัน แต่ให้เขียน เขียนไม่ได้ ผมก็อยู่ในกรณีนี้เช่นเดียวกันนี้ จะให้ผมพูดกับฝรั่งทั้งวันก็พูดได้ แต่จะให้เขียนจดหมายสักฉบับหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่ผมจะกังวลมากนั่นก็คือ ไวยากรณ์ บางครั้งก็เขียนศัพท์ผิดๆ ถูกๆ ทั้งที่พูดได้ แต่เขียนไม่ได้ มีบ่อยครั้ง ที่อาจารย์บรรยายแล้วให้ผมจดตาม ผมจดได้ไม่ถึง 50 คำ แค่คำว่า ภาษา (Languages) บางครั้งผมก็ยังเขียนไม่ถูก แต่ให้ผมไปบรรยายหน้าห้อง ผมทำได้ เพราะบางคำผมพูดได้ แต่ผมเขียนไม่ได้ ปัญหาของผมก็คือ ผมได้รับการฝึกฝนจากการฟังมากกว่า การเรียนด้วยตำราผมจึงไม่มีปัญหาในการฟัง แต่มีปัญหาในด้านการเขียน แต่ก็มีเพื่อนผมหลายคนนะครับ เขียนได้ แต่พูดไม่ได้ และเชื่อไหม มีเด็กนักเรียนไทยเป็นจำนวนมาก อยู่ในกรณีนี้ นั่นก็คือ เขียนได้ แต่เวลาสนทนากับฝรั่ง ฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง กรณีเดียวกับผมเป๊ะเลย

หากเราฟังมากๆ สิ่งหนึ่งที่เราจะได้รับนั่นก็คือ ทักษะการออกเสียง การเน้นคำ ทักษะการพูด หากเราอ่านตำรามากๆ สิ่งที่เราจะได้นั่นก็คือ ไวยากรณ์และกระบวนการเรียนรู้ เพราะตำราไม่สามารถสอนเราออกเสียงที่ถูกต้องได้ เพราะหลักการเรียนพูดภาษาอังกฤษ ก็คือ ต้องเรียนด้วยหู อย่าเรียนด้วยตา คือฟังมาแบบไหน ต้องพูดแบบนั้น จริงๆ แล้วทักษะการเรียนภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติก็คือ ฟังอย่างที่เขาพูด พูดอย่างที่เราฟัง อ่าน เขียนเหมือนอย่างเขา แต่เชื่อไหม ว่าทำไมคนไทยจึงเรียนภาษาอังกฤษนานมากๆ เพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่ เรียนเขียน อ่าน พูด และฟังตามหนังสือมากกว่าที่จะตามปากเจ้าของภาษา เพราะทักษะการอ่าน เขียน มันเหมาะสำหรับคนไทยเรียนไวยากรณ์ และเหมาะสำหรับคนไทยที่ต้องการสอบเพียงแค่ผ่าน ส่วนทักษะสำหรับการพูด ก็คือการพูดและฟัง เราให้ความสำคัญเป็นอันดับสุดท้าย ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนไทยจึงเก่งแต่ไวยากรณ์ แต่ไม่เก่งพูด

ในบรรดาทักษะการเรียนภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติ มีอยู่ 4 อย่างด้วยกันครับนั่นก็คือ

1.ฟัง ต้องเริ่มต้นจากการฟังเสียก่อน แล้วค่อย....

2.พูด

3.อ่าน

4.เขียน ตามลำดับ นี่เป็นการเรียนภาษา แบบธรรมชาติ ไม่ว่าภาษาใดๆ ในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย ภาษาเหนือ อีสาน ออก ตก ลองนึกว่าคุณเรียนภาษาไทยอย่างไรดูสิครับ แล้วจะได้คำตอบ เริ่มต้นจากเราฟังจากพ่อแม่ก่อน ตั้งเกิดจนกระทั่งอายุ 2-3ขวบกว่าจะพูดได้ แต่ก่อนจะพูดได้ เราสะสมการฟังมาเกือบสองหรือสามปี เมื่อพูดได้ เราถึงไปเรียนหนังสือคือเข้าโรงเรียน คือสู่กระบวนการอ่าน และเขียน แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งนะครับ การเรียนประเภทนี้ จะไม่ค่อยแม่นไวยากรณ์

(แต่สำหรับคนไทยส่วนมากเราจะเน้น อ่าน เขียน พูด และฟัง)

มีสถาบันสอนภาษาหลายแห่ง ที่สอน:

1.การพูดภาษาอังกฤษ แต่ไม่ได้สอนการเป็นนักพูดที่ดี

2.การฟัง แต่ไม่ได้สอนการเป็นนักฟังที่ดี

3.การอ่าน การอ่านอย่างไรให้ประสบผลสำเร็จ

4.การเขียนอย่างไร ให้ประสบผลสำเร็จ ตามที่คาดหวัง



หากมีโรงเรียนไหนที่บอกว่า สามารถสอนท่านพูดภาษาอังกฤษได้เพียงแค่ชั่วโมงเดียวอย่าไปเชื่อครับ อย่างน้อยๆ ต้องใช้เวลาในการสะสมการฟัง การพูด ประมาณ 2-3 ปี เตรียมทำใจเอาไว้เลย ดังนั้นหากเรา เห็นป้ายโฆษณาตามสื่อ หรือป้ายที่ไหนบอกว่ากับเราว่า สามารถเรียนภาษาอังกฤษกับเขาแล้ว เราสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ภายใน 1 ชั่วโมง เขาไม่ได้หลอกเรา จริงๆ แล้วเราสามารถพูดได้ ภายใน1 ชั่วโมง แต่อาจจะยังคุยกันไม่ได้ เพราะการสนทนาภาษาอังกฤษ บางครั้งมันไม่ใช่แค่ where are you going? แต่บางครั้งฝรั่งเขามักจะใช้ภาษาแสลงคุยกับเรา นี้เป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวง สำหรับคนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา บ่อยครั้งใช่ไหมครับ ที่เรามักจะได้ยินฝรั่งบอกอะไรสักอย่าง เช่น Cool!  มันไม่ได้แปลว่า เย็น ได้อย่างเดียว แต่หมายถึง สุโค่ย สุดยอดเลย อะไรทำนองนั้น

มีบ่อยใช่ไหมครับ ที่เรามีปัญหาในด้านการฟัง อาจเป็นเพราะ

1.เราไม่เคยฝึกการฟัง หูไม่เคยได้ฟังการออกเสียง แต่ละศัพท์แต่ละประโยคของภาษาอังกฤษ

2.ไม่ค่อยได้พูด คนเราบางครั้งนานๆครั้งพูด มันจะติดอ่างและทำให้ลืมได้นะครับ

การฟังภาษาอังกฤษเราต้องฟังอย่างที่เขาพูด เหมือนภาษาไทยนี้แหละครับ คำบางคำทำให้ฝรั่งสับสนมากๆ เช่นคำว่า ใคร่ ใคร ซวย สวย มวย หมวย เนื่องจากมีบางคำที่มันออกเสียงคล้ายๆ หมวย ฝรั่งออกเสียงเป็นอย่างอื่นก็มี และนิสัยอย่างหนึ่งของคนไทยก็คือ เวลาฝรั่งพูดผิด เราชอบหัวเราะ แต่เราพูดผิด ฝรั่งเขาไม่ได้หัวเราะเรานะ เขากลับช่วยแก้คำผิดให้เรา ส่วนภาษาอังกฤษ ศัพท์ที่คนไทยออกเสียงยากก็คือ R และ L เช่นคำว่า Rate Late, Lice Rice, Iceland Island, ฟังอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน แต่หากเราฟังว่ามันเหมือนกันเมื่อไหร่ นั่นแหละ ทักษะการฟังเริ่มมีปัญหา การสื่อสารกันชักจะเริ่มไม่รู้เรื่อง และการสนทนาก็เริ่มมีปัญหาไปด้วย แต่การฟังภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่ยากกว่านั้นอีกครับ อาจเป็นเพราะ

1.เราไม่รู้ว่าเขาสื่ออะไร เพราะเราไม่รู้ศัพท์ หากเรารู้ศัพท์แต่ไม่รู้ประโยค ก็ยังพอเดาได้ ไปแบบน้ำขุ่น ว่าเขาหมายถึงอะไร

How about coffee? จะรับกาแฟไหม?

มีบ่อยครั้งที่ผมได้ยินคนไทยบอกว่า It’s very hot. มันร้อนมาก (ทั้งที่กาแฟก็ยังไม่มีวางอยู่บนโต๊ะ) สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง คนถามอีกอย่าง คนตอบตอบอีกอย่าง อาจจะเป็นเพราะเราเข้าไม่ถึงความลึกซึ้งของภาษาอังกฤษ ครั้นจะให้เดา..คำว่า How แปลว่า อย่างไร about แปลว่า ประมาณ coffee คือ กาแฟ ก็น่าจะหมายความว่า กาแฟเป็นอย่างไรบ้าง? การเดาน่าจะเป็นแบบนี้ แต่ความหมายที่แท้จริงไม่ใช่ ทางออกสำหรับเรื่องนี้ก็คือ หัดฟังเยอะๆครับ

การฟังภาษาอังกฤษถือว่าเป็นบันไดก้าวแรกในการเรียนภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติ บางครั้งคิดว่าจะพูดภาษาอังกฤษเก่ง ต้องอ่านหนังสือเยอะๆ ต่อให้คุณอ่านหนังสือของคุณแอนดรูว์ บิ๊กส์หมดทั้งร้าน และครูเคท คุณก็ไม่มีทางเก่งภาษาอังกฤษได้ แต่หนังสือเหล่านั้นคือหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้จะทำอย่างไรให้เก่งภาษาอังกฤษเท่านั้นเอง แต่หากเมื่อไหร่ คุณเดินก้าวแรก ไปพร้อมการฟัง การพูด นั่นแหละครับ คุณเริ่มที่จะเรียนการพูดภาษาอังกฤษแล้ว เพราะหนังสือเหล่านั้นไม่ได้ช่วยสอนให้คุณออกเสียง ถึงแม้ว่าในหนังสือ เขาจะบอกวิธีการออกเสียงถูกอย่างไร คุณก็ไม่มีทางออกเสียงเหมือนที่เขียนในหนังสือที่เขาบอกได้ มีวิธีเดียวนั่นก็คือ หาเจ้าของภาษามาพูดและฟัง และ Copy ชัดเจนนะครับ!

หลายสถาบันอาจจะให้ความสำคัญไวยากรณ์ บางสำนักอาจจะเน้นทักษะยุทธ์การพูด แต่มีหลายสำนักมองข้ามการฟัง ในบรรดาทักษะการเรียนภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ บางสำนักเน้นการพูด เพราะคิดว่า หากพูดได้ นั่นก็หมายความว่า ฟังเป็นด้วย การพูดภาษาอังกฤษได้ กับการพูดภาษาอังกฤษเป็น แตกต่างกันมากนะครับ การพูดภาษาอังกฤษได้ คุณจะพูดอย่างไรก็ได้ หากคุณอยากจะพูด แต่......การพูดภาษาอังกฤษเป็นคือ ต้องรู้จักกาลเทศะ กาลไหนควรพูดอะไร ไม่ควรพูดอะไร คำไหนเหมาะสมกับวัย หรือสถานะของคู่สนทนา ว่าต้องใช้ศัพท์อย่างไรถึงจะเหมาะสม นี่คือสิ่งสำคัญสำหรับการที่จะทำการให้การสนทนามีความสนุกและบรรลุตามเป้าหมาย หากเป็นคนที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ควรสรรหาคำพูดที่เป็นกลางๆ อย่านำคำพูดแสลงมาใช้นะครับ

Hello สวัสดีครับ

Hi หวัดดี

How have you been? เป็นไงบ้าง?

ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม เหมือนอย่างเช่น หวัดดีอาจารย์ กับ สวัสดีครับอาจารย์ หวัดดีหัวหน้า กับ สวัสดีครับหัวหน้า อย่างไรเหมาะสมกว่า เราก็ต้องเลือกให้เหมาะสมบุคคล


ดังนั้นเมื่อเราเรียนภาษาอังกฤษ มีทักษะ 4 อย่างด้วยกันที่เราจำเป็นอย่างมากเลยนะครับที่จะต้องเรียนและรู้ และทำให้การติดต่อ(สื่อความหมายของเรา) ถึงจะลุล่วงไปด้วยดี ภาษาอังกฤษอาจจะเป็นภาษาที่ 3 หรือที่ 4 ของใครบางคน หากภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาที่หนึ่งของเรา เวลาจะใช้จะต้องคำนึงนั่นก็คือ กาลเทศะ บุคคล สถานที่ (บางคนไม่เคยใส่ใจเลย) สักแต่ว่าขอให้พูดได้....และได้พูด ทักษะทั้งสี่ มีความโดดเด่น อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว หากเราเน้นทักษะการฟัง เราจะพูดเก่ง ออกเสียงชัด หากเราจะเน้นทักษะการพูด จะพูดเก่งหรือไม่ เหตุมันมาจากสะสมการฟัง หากเรา copy การฟังมาแบบไหน เราจะพูดตามแม่แบบที่เราได้ยินได้ฟังมา ดังนั้น

1.การฟัง

2.การพูด

3.การอ่าน

4.การเขียน

ไม่ว่าเราจะเรียนภาษาอะไร ทักษะทั้ง 4 อย่างถือว่าสำคัญเท่าๆกัน แต่การใช้จะแตกต่างกัน ไกด์บางคนพูดได้ แต่ให้เขียนไม่ได้ สิ่งที่เราเคยเรียนในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลหมีน้อย จนถึงอนุบาลหมีโต สิ่งที่เราได้รับนั่นก็คือ 1.ต้องอ่านให้ครูฟัง 2.ต้องเขียนให้ครูตรวจ 3.หากมีเวลาครูก็ให้พวกเราอ่าน 4.เรามีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับฟังภาษาอังกฤษแบบอังกฤษจริงๆ อาจจะมีเหตุผลหลากหลายประการ เช่น บางคาบอาจารย์สอนภาษาอังกฤษแต่พูดภาษาไทยเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ เพราะส่วนใหญ่ครูสอนภาษาอังกฤษเองก็ยังไม่เก่งในด้านภาษาอังกฤษมากนัก เพราะเป็นคนไทย ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ให้นักเรียนอ่าน....หมดชั่วโมงพอดี พอออกนอกห้องก็พูดภาษาไทยทั้งวัน เพราะระบบการศึกษาภาษาอังกฤษที่บ้านเราเน้นเพื่อแค่ให้สอบผ่าน เพราะเมืองไทย เราไม่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษก็ได้ แต่เมื่อเราจบมานี่สิครับ มีปัญหาและเป็นปัญหา....เมื่อไปสมัครงาน บางบริษัทต้องสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ บางคนถึงกับต้องไปติวภาษา เพียงเพราะแค่จะสอบสัมภาษณ์ บางคนก็ท่องไปเลย บางคนต้องหอบแบบฟอร์มกรอกสมัครงานไปให้คนอื่นกรอกให้ เสียเงิน 100-200 บาท ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังคิดว่าภาษาอังกฤษไม่สำคัญ! พนักงานขับรถบางบริษัท มีใบขับขี่ และพูดภาษาอังกฤษได้ เงินเดือนหมื่นกว่าบาท

เราจะฟังภาษาอังกฤษได้อย่างไรในเมื่อบ้านเราหาฝรั่งที่จะคุยด้วยลำบาก มักจะเป็นข้ออ้างสำหรับนักเรียนไทย

ผมมีวิธีหรือเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษเหมือนมีฝรั่งอยู่ในบ้านหรือมีฝรั่งมาสอนอยู่ในบ้านเลย คุณเคยถามตัวคุณเองบ้างไหมครับว่า เราเรียนภาษาไทยมาอย่างไร? ในความเป็นจริง เมื่อเราอายุประมาณสองหรือสามขวบ เราก็เริ่มที่จะพูดภาษาไทยหรือภาษาท้องถิ่นเพียงแค่สองหรือสามคำพูดในการเริ่มต้น เช่น แม่หนู หิว (ข้าว หรือ นม) ซึ่งก็ยังไม่เต็มประโยค แต่คุณก็พูดได้ และหลังจากนั้นไม่นานคุณก็ได้เข้ากระบวนการเรียน การฟัง การพูดอย่างแท้จริง โดยพูดตามพ่อแม่บ้าง ตามเพื่อนบ้าง โดยบางครั้ง เราพูดภาษาไทยโดยเราไม่ต้องนึกถึงภาษาท้องถิ่น โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปลจากภาษาท้องถิ่นก่อน ภาษาเหนือ ตั๋วจะไปแหน่ ภาษาไทย คุณจะไปไหน ภาษาอังกฤษ Where you are going? ดูเหมือนมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แต่ว่ามันไม่ใช่ มันเป็นผลของการสะสมการฟังและเปลี่ยนไปเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างอื่นในเวลาต่อมา 2 หรือ 3 ปีก่อนที่เราจะพูดได้ เราได้ยินพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตายาย พูดตลอดทั้งวันหรือบางคนอาจจะทั้งวันทั้งคืน(ได้ยินคนข้างบ้านทะเลาะกันทั้งคืน) เราได้ยินผู้คนมากมายพูดภาษาไทย สิ่งที่สำคัญมากนั่นก็คือสิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่เราสั่งสมมาจากการฟัง ตลอดระยะ 2หรือ 3 ปี เป็นกระบวนการต่อการเริ่มหัดพูด ตลอดระยะเวลา 2 ปี กี่คำพูด ที่ได้เข้าไปสู่ผัสสะของการฟัง กี่คำพูดที่ผ่านหูเรา ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะมีข้อสงสัยในการฟังว่า การฟังหรือการสั่งสมการพูด มีประโยชน์ต่อการจำ การออกเสียง แม้กระทั่ง เราจะสังเกตได้ว่าเมื่อเราอายุ แค่ 3 ขวบ พูดภาษาไทยได้ ทั้งที่ยังเขียนหนังสือไม่ได้สักตัว เขียนชื่อตัวเองก็ยังไม่ได้ แต่เราพูดได้ทั้งวัน ดังนั้นการฟังจึงจำเป็นอย่างมากครับ ต่อกระบวนการออกเสียงให้ถูก

ดังนั้น เราจะฟังภาษาอังกฤษอย่างไร เมื่อเราไม่มีครูสอน หรือครอบครัวเราไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ และเราก็ไม่ได้เป็นลูกครึ่ง แต่อย่างไรก็อย่าเพิ่งท้อนะครับ มีหนทางมากมายที่เราสามารถฟังภาษาอังกฤษได้ หากเรามุ่งมัน อย่างน้อยๆ ขอแค่สนทนาให้รู้เรื่องก็พอ ไม่ใช่พูดภาษาอังกฤษจนเมื่อยมือ



สำหรับวันนี้ผมมีเคล็ดลับดีๆ สำหรับการเริ่มต้น ฟัง พูด ภาษาอังกฤษมาฝากครับ คิดว่าน่าจะพอเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เริ่มจะสนใจเรียนได้บ้าง การเรียนภาษาอังกฤษไม่มีคำว่าสายครับ หากจะสาย นั่นก็คือความคิดของคุณเอง สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อการฟังภาษาอังกฤษของเรา ที่พอจะหาได้ก็คือ

วิทยุ

ปัจจุบันเราสามารถรับฟังภาษาอังกฤษตามสื่อวิทยุได้เกือบทุกประเทศ สองเครือข่ายสถานีที่นับว่ามีชื่อเสียงนั่นก็คือ BBC World Service (สำเนียงอังกฤษแบบอังกฤษ) http://news.bbc.co.uk และ Voice of America. (สำเนียงอังกฤษแบบอเมริกัน) http://www.voanews.com/english/portal.cfm สถานีทั้งสองแห่งถือได้ว่าเป็นสถานีที่ผู้คนเข้าไปฝึกภาษาเยอะเหมือนกันครับ. เพราะมีบทสามารถให้เราได้อ่านภาษาอังกฤษได้ด้วย และอีกสถานีหนึ่งที่ผมชอบฟังนั่นก็คือ http://www.spotlightradio.net หรือ http://www.radio.english.net และสถานีเพลงที่ผมชอบฟังนั่นก็คือ http://www.virginradio.co.uk/listen ลองเข้าไปฟังหรือเข้าอ่าน โดยที่เราเข้าไปดูเว็ปอื่นก็ยังได้ ทำให้เป็นนิสัยครับ

ทีวี

TV ถือได้ว่าเป็นสื่อที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพอย่างมากต่อการฝึกภาษาอังกฤษ เพราะเราสามารถดูรูป ผู้คน ท่วงทำนอง ท่าที่บุคลิกของผู้พูดได้ สามารถทำให้เราเดาเนื้อเรื่องได้ ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจก็ตาม หากบ้านใครติดสัญญาณ UBC ถือว่าคุณมีครูสอนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดครับ

Internet

ถือได้ว่าเป็นสื่อที่หาง่ายต่อการฟังภาษาอังกฤษมากกว่าสื่อใดๆ (สำหรับที่คนติดอินเตอร์เน็ต) ถ้าคุณสามารถอ่านบทความของผมได้ คุณก็เหมือนมีครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่บ้านเช่นเดียวกัน และมีสถานทีวิทยุทั่วโลกอยู่ในบ้านเรา และง่ายต่อการที่จะเข้าไปฟังภาษาอังกฤษครับ ฟังบ่อยๆ และฟังการลงเสียงหนักเบา จะช่วยได้มาก.

เพลง

เพลงที่เป็นภาษาอังกฤษถือได้ว่าเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายมากครับ สำหรับการเริ่มฝึกฟังภาษาอังกฤษ แต่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษให้กับผมท่านไม่ค่อยแนะนำให้ฟัง เพราะค่อนข้างเป็นภาษาที่ยาก บางครั้งก็ส่อไปในทางสองแง่สองง่าม ไม่ต้องไปดูอะไรครับ แค่เพลงไทย ขนาดเราเป็นคนไทยแท้ๆ บางท่อนเราก็ยังงงเลย หากความรู้สึกไม่ถึงจริงๆ แต่ก็จงเลือกเอาเพลงที่ง่ายๆ เช่นเพลงของเด็ก ไม่ต้องอายครับ หากใครบอกว่าเราบ้า หรือปัญญาอ่อน สิ่งเหล่านี้ผมเจอมาหมดแล้ว

หนัง / CD

หากพูดเรื่องหนัง ก็ยิ่งเป็นการง่ายต่อการฝึกเรียนการฟังและรูประโยคของภาษาอังกฤษ เพราะปัจจุบันหนังซีดี มี sub-titles.และสิ่งที่เราจะได้รู้จากหนังมากกว่าสื่ออื่นๆ นั่นก็คือ ศัพท์แสลงครับ และมีให้เราอ่านด้วย หากไม่เข้าใจประโยคไหน ก็สามารถกรอกลับมาดูใหม่ได้ แต่การเลือกดูหนังหากเป็นไปได้ควรเลือกหนังที่เราชอบนะครับ เพราะจะทำให้เราเพลินไปกับการฝึกและการฟัง


เพื่อนๆ

พยายามหาเพื่อนที่เขาพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งจะทำให้เราได้ฝึกภาษาด้วย และนี้ก็เป็นการฝึกภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด เพราะได้พูดคุย และการพัฒนาภาษาจะพัฒนาได้ดีกว่าวิธีอย่างอื่นๆ หากเราพูดผิด เพื่อนสามารถแนะนำได้ครับว่า เราพูดผิดนะ และการเลือกเพื่อนก็ต้องเลือกคบด้วยนะครับ เพราะฝรั่งบางคนก็ Dirty คือลามก บางคนชวนคุยแต่เรื่องเซ็กส์ แต่ดูเหมือนที่บ้านพระเนตร คงจะตัดปัญหาตัวนี้ออกไป เพราะคงหายากที่จะมี เพื่อนเราสักคน พูดภาษาอังกฤษ

สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้จะไม่ช่วยอะไรคุณเลย หากคุณไม่ลงมือทำ การอ่านหนังสือ ย่อมทำให้เราได้รู้กระบวนการที่ดีและถูกต้อง ในการที่จะเรียนรู้ให้ถูกกระบวนการ ต่อให้คุณอ่านคู่มือของมหาวิทยาลัย Oxford ทั้งเล่ม ก็ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้ หากคุณไม่ลงมือทำ อย่างที่บอกนั่นแหละครับ ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่อาศัยทักษะ หากอายกลัวคนอื่นจะรู้หรือเห็น ก็เข้าไปหัดและฟังเสียงตัวเองได้ในห้องน้ำ (ผมทำบ่อย) เห็นไหมครับว่า เราสามารถฝึกภาษาอังกฤษได้ทุกที่ แต่ที่เราไม่ทำ เพราะหนึ่ง บางคนอาจจะคิดว่ามันไม่สำคัญต่อการดำรงชีวิต ต่ออาชีพการงาน บางครั้งปีหนึ่งก็ไม่เคยพูดกับฝรั่งสักคน เลยไม่รู้จะเรียนไปทำไม แต่สำหรับคนที่เขามีวิถีชีวิตกับภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษคือเงินเดือนของเขาเลยหละ

ประการสุดท้าย อย่ากังวลนะครับ หากเราไม่เข้าใจทุกอย่างที่เราได้ฟัง ฟังบ่อยๆ แล้วเราจะเข้าใจเอง แล้วหลังจากนั้น สำเนียงจะไปของมันเอง (แปลและดัดแปลงจาก How to hear English and how to improve your English; New York University)

พงษ์ประภากรณ์ สุระรินทร์

                                                                                 


                                                                                               

2 ความคิดเห็น:

  1. พระเจ้า...มันยอดมากเลยครับพระอาจารย์

    ขอทราบเทคนิคการจดจำของพระอาจารย์บ้างสิครับ

    มีหลักการและวิธีการจดจำสาระเรื่องราวต่างๆ ด้วยวิธีการใด

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ6 มีนาคม 2556 เวลา 03:34

    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ