นมัสเตอินเดีย:ปัญหาของนักเรียนไทยในอินเดีย

ในบทนี้ผมขอพูดถึงปัญหาของนักเรียนไทย ที่มักจะประสบปัญหาเวลามาเรียนที่อินเดีย ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาพิสดารพันลึกอะไรมากมาย ที่จำเป็นต้องใช้ เครื่องคิดเลข หรือตัวช่วย  มาพินิจวิเคราะห์ให้ปวดกบาลเล่น หลับตาข้างเดียว ก็มองเห็นถึงปัญหาเหล่านี้ได้ ทุกมหาวิทยาลัยที่มีคนไทยเรียน  จะมีแตกต่างกันบ้างก็เพียงเล็กน้อย
                                                                          

ประการแรก ผมให้เครดิตในเรื่องปัญหาภาษาอังกฤษ เป็นไงหล่ะ เวลาเรียนก็ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ครูสอนก็ไม่ตั้งใจสอน เวลาสอนก็งั้นๆ บางทีเห็นเราเป็นหัวหลักหัวตอ จะสอนให้รู้เรื่องก็ได้ แต่ยังไม่สอน ต้องไปเรียนพิเศษกับครูก่อน ครูถึงจะสอนให้เข้าใจ พอถึงเวลามาเรียนต่อต่างประเทศ ถึงได้รู้สัจธรรม ว่าแค่ภาษาไทยไม่พอยาไส้จริงๆ ถึงแม้บางคนจะโชคร้ายเรียนยังมหาวิทยาลัยที่เขาบรรยายเป็นภาษาฮินดีหรือภาษาประจำรัฐของเขา แต่เวลาคุณจะสอบต้องสอบเป็นภาษาอังกฤษ มันแย่ตรงนี้แหละ เรื่องภาษาอังกฤษจึงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเด็กนักเรียนทุกๆคน ที่ภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยแข็งแรง ผมเคยถามคนไทยหลายๆคนที่มาเรียนอินเดียว่า อะไรที่ทำให้ลำบากใจที่สุด ครับ! เขาพูดเป็นเสียงเดียวกัน นั่นก็คือทางบ้านส่งเงินมาให้ไม่ทันใช้ เออ...อ. อ่อนภาษาอังกฤษครับ

อยากจะให้หลายๆท่าน ที่กำลังคิดอยากจะมาเรียนต่อที่อินเดีย ฝึกปรือภาษาอังกฤษเอาไว้ ถึงแม้อินเดียจะสกปรกขนาดไหน ขอทานเยอะขนาดไหน แต่เชื่อได้เลยครับ คนชั้นกลางของเขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าชนชั้นกลางบ้านเรา หากใครเป็นชาติไทยนิยมคิดว่าคนไทยดีกว่าแน่นอนและคิดว่าผมพูดผิด ก็ต้องขออภัยด้วย เพราะที่สัมผัสมา คนอินเดียส่วนมากที่จบปริญญาตรีหรือโท เขาเก่งภาษาอังกฤษพอควร เมื่อเทียบกับบ้านเราบางคนจบปริญญาโทก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้

เมื่อเราพูดภาษาฮินดีไม่ได้ ดังนั้นจึงมีภาษาเดียวที่จะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยในอินเดียได้นั่นก็คือ ภาษาอังกฤษ ในอินเดียมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งก็ใช้ภาษาไม่เหมือนกัน เช่นคนไทยที่เรียนภาคใต้ บางครั้งเขาก็ใช้ภาษาทมิฬ นาดูสอน ภาคเหนือมหาวิทยาลัยปัญจาบ ใช้ภาษาปัญจาบี ภาคเหนือลงมาอีกมหาวิทยาลัยพาราณสี ใช้ฮินดี บางห้องมีนักศึกษาต่างชาติไม่กี่คน ครูก็จะมองเราเหมือนเป็นสุญญากาศ จะหลับหูหลับตาสอนเป็นภาษาของตัวเอง แต่ตัวเราเองต้องไปหาข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษเอามาอ่าน สรุปแล้ว แมร่งกูมาทำเชี้ยอะไรในห้องวะเนี่ย

ครับ! หากใครเรียนจบรามคำแหงมา จะช่วยพัฒนาตัวเองได้มาก เพราะระบบการเรียนแบบในอินเดีย ต้องศึกษาด้วยตนเองให้มาก ต้องอ่านและแสวงหาความรู้ด้วยตนเองให้เยอะ เด็กไทยควรทำการบ้านอย่างหนัก เทียบกับการเรียนของไทยที่เรียนเป็นเรื่องๆ มีรูปแบบออกข้อสอบที่คาดเดาได้ แต่ในอินเดียเราคาดเดาได้ยาก เราต้องรู้ให้ครอบคลุมทั้งเนื้อหาในหลักสูตรให้มากที่สุด แม้บางวิชาผู้สอนจะสอนไม่ครบแต่ออกข้อสอบครบถ้วน ดังนั้นพวกเราต้องทำการบ้านอย่างหนัก ฝึกเขียนอ่านให้เยอะ และต้องรู้จักการเก็งข้อสอบด้วย

ส่วนพวกเจ้าหน้าที่ต่างๆ เวลาเราไปติดต่อประสานงานอะไรสักอย่าง เราพูดเป็นภาษาอังกฤษ แมร่งมันตอบเป็นภาษาฮินดี หรือพูดอะไรก็ไม่รู้ของมัน ซึ่งมันมีผลทำให้เราไม่เข้าใจที่มันบอก ประมาณว่ามรึงจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ก็ตามใจ แต่ตูจะพอใจบอกไปอย่างนี้ ไม่รู้ว่าที่รัฐอื่นมีหรือเปล่า อันนี้ผมไม่ทราบ แต่ที่ผมเรียน มันมีจริงๆ กินหมากไปด้วย พูดภาษาอังกฤษไปด้วย แค่ลำพังมรึงไม่กินหมาก ตูก็แทบจะฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว นี่ดันทะลึ่งกินหมากเข้าไปอีก อยากตบกบาลให้ฟันผุหักสักสามซี่ (เยอะเกินไปหรือเปล่าตั้งสามซี่)

จริงๆครับ หากเรื่องที่ผมพูดมา ไม่เป็นความจริงหรือไม่มีมูลของความจริงเลย ขอให้ส้วมข้างๆบ้านคุณเต็มก็ได้ บางคนจะมาเรียนปริญญาเอก แต่ต้องมานับ ABCD หรือมาเริ่มต้นที่อินเดีย มันช้ามากๆสำหรับความคิดของผมนะ ดังนั้นเมื่อเห็นแวว ลางๆว่าอย่างไรจะต้องไปเรียนต่างประเทศแน่ๆ ควรเรียนภาษาอังกฤษเอาไว้ครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นอินเดีย เพียงแค่ได้เดินออกนอกสุวรรณภูมิ ภาษาอังกฤษก็คือภาษาประจำตัวเราแล้ว

ภาพหรือบุคคลในภาพไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
                                                                                

ประการที่สอง เกาะกลุ่ม ปัญหาอย่างหนึ่งของคนไทยที่มาเรียนยังต่างประเทศก็คือชอบเกาะกลุ่มกันอยู่ จึงเป็นเหตุทำให้การเรียนภาษาอังกฤษช้าหรือได้ผลไม่ตามเป้าหมายที่ควรจะได้และควรจะเป็น เพราะพูดแต่ภาษาของตัวเอง ยิ่งภาคไหนมีคนภาคนั้นเยอะ ภาษาของคนภาคนั้นจะมีอิทธิพลเยอะมากๆ บางคนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนถึงต่างประเทศ ยังขนเพลงไทยมาฟัง ลูกทุ่งหมอลำ ไม่ได้ฝึกให้มีนิสัยฟังเพลงต่างประเทศหรือฟังข่าวต่างประเทศ บางคนดูแต่ข่าวไทย รายการไทย คืออยู่ต่างประเทศก็จริง แต่วิถีชีวิตไม่พ้นเมืองไทย ดังนั้นภาษาอังกฤษเลยไม่ค่อยพัฒนา ส่วนเพื่อนแขกก็ให้ใช้วิจารณญาณเอานะครับ ว่าประเภทไหนควรคบหรือไม่ควรคบ อเสวนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวนา ครับ คบคนที่ควรคบ พระท่านว่าอย่างนั้น

ประการที่สาม ขี้อาย ไม่ค่อยกล้าแสดงออก ไม่กล้าพูดคุยกับครูอาจารย์ เพราะเนื่องจากภาษาอังกฤษของตัวเองไม่ดี กลัวครูถามแล้วตอบไม่ได้ กลัวเสียหน้า บางครั้งก็เป็นเหตุทำให้ความสัมพันธ์กับครูอาจารย์ก็ไม่ค่อยสู้ดีมากนัก เพราะไม่ค่อยทำความรู้จักมักคุ้นกับครูอาจารย์ พูดไปพูดมาก็ต้องวกเข้าเรื่องเดิมๆ นั่นก็เพราะภาษาอังกฤษไม่ดีอีกนั่นแหละ

                                                                                     

ประการที่สี่ ก็คือขี้เกียจ บางคนภาษาอังกฤษไม่ดีแล้ว ยังขี้เกียจ นักศึกษาไทยบางคนรู้ทั้งรู้ว่าภาษาอังกฤษไม่ดีแล้ว ไม่ค่อยอ่านหนังสือดูหนังสือ ชอบเที่ยว ชอบมั่วสุม จึงไม่แปลกหากนักศึกษาไทยประเภทนี้จะเรียนไม่ค่อยจบหรือเรียนไปสักพักหนึ่งแล้วสอบไม่ผ่าน อยากเปลี่ยนคณะ ไปหาคณะที่ง่ายกว่า มหาวิทยาลัยไหนมีคนไทยเยอะ จะเจอนักศึกษาประเภทนี้เยอะ เพราะสังคมมันเอื้อต่อการดำรงชีวิตอยู่แบบขี้เกียจ

ประการที่ห้า ชอบลืมตัว บางคนลืมตัวว่าตัวเองมาเรียนหรือเป็นนักศึกษา อาจจะเป็นเพราะอินเดียมีความอิสระให้เต็มที่ เพราะทุกคนคิดว่า ตูไม่ได้เอาเงินมรึงมาเรียน ดังนั้นเรื่องบางอย่างก็ยากจะเตือน หากเห็นใครสักคน ออกนอกลู่นอกทาง เพราะบางคนคิดอย่างนี้ ก็เลยทำให้ คนใกล้ตัวไม่กล้าเตือน ก็เลยเป็นเหตุ ทำให้ลืมตัว นักศึกษาไทยบางคนลืมว่าตัวเองมาเรียนหรือมาทำอะไร แต่ครูอาจารย์แขกกลับรู้ว่านักศึกษาไทยมาทำอะไร สรุปก็คือเราลืมว่าเราเป็นใคร แต่แขกเขารู้ว่าเราเป็นใคร

                                                                                         
 ขอพูดเรื่องอาหารและสุขภาพนะครับ ยอมรับจริงๆว่า คนไทยส่วนมากทานอาหารแขกไม่ได้ ดังนั้นคนไทยหรือนักศึกษาไทย ต้องปรับตัวอีกเยอะในเรื่องอาหารหากไม่อยากปรับ ต้องไปจ่ายตลาดเอง ทำกับข้าวเอง ส่วนในเรื่องสุขภาพ เนื่องจากสุขลักษณะของคนอินเดีย ยังไม่ได้มาตฐาน ดังนั้นจะทานอาหารหรือกินอะไรตามข้างทางก็ต้องระมัดระวังให้มากๆ เพราะอะไรที่เราเห็นตามข้างๆทางดูเหมือนจะอร่อย แต่หากได้เห็นกระบวนการผลิตหรือที่ห้องครัวแล้ว รับรองได้เลยว่า เจ็บ (ท้อง) นี้อีกนาน ร้านนี้ไม่ลืม

นมัสเตอินเดีย: มหาวิทยาลัยที่คนไทยควรมาเรียน

มหาวิทยาลัยที่ผมได้แนะนำนี้ ได้รับการโหวตจากสถาบันมหาวิทยาลัยแห่งชาติอินเดีย ตลอดระยะเวลา สองสามปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ติดท๊อป 10 ของอินเดีย และทุกมหาวิทยาลัยที่ได้ระบุมานี้ มีนักศึกษาไทยเรียนทุกแห่ง อันที่จริงอยากทำความเข้าใจนักศึกษาไทยหลายๆท่าน ที่เรียนยังประเทศอินเดีย แต่ไม่มีชื่อมหาวิทยาลัยตัวเองปรากฎอยู่ นั่นเป็นเพราะว่า มหาวิทยาลัยแห่งนั้น ไม่ได้รับการจัดอันดับจาก UGC และ NAAC นั่นเอง


1. University of Delhi :Government

มหาวิทยาลัย DU หรือ เดลฮี เป็นหนึ่งที่ท็อปในบรรดามหาวิทยาลัยต่างๆ ในอินเดีย ถูกก่อตั้งในปี 1922 โดยรัฐบาลอินเดีย ทั้งหมดมี 14 คณะ 86 ภาควิชาการศึกษา

Courses ที่เปิดสอน

B.A. (Hons) Business Economics
B.Sc. (Hons) Electronics
B.A. (Hons) Geography
B.Sc. (Hons) Geology
B.A. (Hons) Hindi
B.Sc. (Hons) Mathematics
B.A. (Hons) Journalism
B.Sc. (Hons) Physics
B.A. (Hons) Mathematics
B.Sc. (Hons) Statistics
B.A. (Hons) Political Science
B.Sc. (Hons) Zoology
B.A. (Hons) Sanskrit
B.Tech (Biotechnology)
B.A. (Hons) Social Work
B.Tech (Chemical Engineering)
B.A. (Hons) Urdu
B.Tech (Electrical & Electronics Engineering)
B.A.M.S.
B.Tech. (Information Technology)
B.Arch
B.Tech. (Mechanical Engineering)
B.D.S.
BCom (Hons)
B.E. (Civil Engineering)
LL.B.
B.E. (Computer Science and Engineering)
LLM
B.E. (Electrical Engineering)
M.C.A.
B.E. (Electronics & Communication Engineering)
M.Com.
B.E. (Information Technology)
M.P.Ed.
B.E. (Mechanical Engineering)
M.Pharm
B.Ed
M.Phil
B.P.Ed.
M.Sc
B.Pharm
M.Tech (Biotechnology)
B.Sc (Home Science)
M.Tech (Civil Engineering)
B.Sc (Information Technology)
M.Tech (Mechanical Engineering)
B.Sc. (Agriculture)
M.Tech. (Information Technology)
B.Sc. (Hons) Bio-Chemistry
MBA (Full-Time)
B.Sc. (Hons) Botany
MBA (Part-Time)
B.Sc. (Hons) Chemistry
MSW (Master of Social Work)
B.Sc. (Hons) Computer Science

Address : South Campus
North Campus
Tel: 27667011, 27667190
Website : http://www.du.ac.in/

                                                                              
2.University of Mumbai : Government

มหาวิทยาลัยมุมไบถูกก่อตั้งเมื่อปี 1857 เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่มากและดีที่สุดมหาวิทยาลัยหนึ่งของอินเดีย เป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับจาก NAAC ว่ามีคุณภาพ 5 ดาว มีสองวิทยาลัยเขต 36 คณะ และมี 354 colleges ที่อยู่ในสังกัด และมหาวิทยาลัยมุมไบอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาล

Courses ที่เปิดสอน

B.A
M.A.
B.A.L.L.B
M.A. (Economics)
B.Ed
M.A. (Hindi)
B.Lib.Sc.
M.A. (History)
B.P.Ed.
M.A. (Liguistics)
B.Pharm
M.A. (Mathematics)
B.sc (IT)
M.A. (Political Science)
BBA
M.A. (Psychology)
BCA
M.A. (Sanskrit)
BCom
M.A. (Sociology)
Certificate course in Sanskrit
M.A. (Urdu)
Certificate of Proficiency in Russian
M.Com.
Certificate of Proficiency in Serbian
M.Ed
Certificate of Proficiency in Slovak
M.Lib.Sc
Diploma Course in Chinese Language
M.Phil
Diploma Course in Japanese Language
M.Sc. (Botany)
Diploma Course in Urdu
M.Sc. (Chemistry)
Diploma in Hindi
M.Sc. (Mathematics)
Diploma in Modern Arabic
M.Sc. (Physics)
Diploma in Sanskrit
M.Sc. (Zoology)
LL.B.
MA. English
LLM
MBA
M. Sc. (Biotechnology)
MCA
M. Sc. (Computer Science)
Ph.D

ที่อยู่ของมหาวิทยาลัย

Address : University of Mumbai
M.G. Road
Fort Mumbai-400 032.
Ph:- 2265 2819 / 2265 2825.
Kalina Campus: 2652 6091 / 2652 6388.
Email : sanket@ucc.mu.ac.in
Website : http://www.mu.ac.in/
                                          
                                             
3.University of Pune : Government

มหาวิทยาลัยปูเณ่ก่อตั้งขึ้นในปี 1949 ภายใต้สภานิติบัญญัติของมุมไบหรือบอมเบย์ ใช้เวลาไม่นาน มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็เป็นมหาวิทยาลัยอีกแห่งหนึ่งที่ดีที่สุดของอินเดีย มี มากกว่า 411 วิทยาลัยเขต และมี colleges 269 ที่อยู่ในสังกัด


Courses ที่เปิดสอน


B Sc (Computer Science)
M.A. (Political Science)
B.A
M.A. (Sanskrit)
B.A.M.S.
M.C.A.
B.Ed
M.Com.
B.H.M.S.
M.D.
B.Lib.Sc.
M.Ed
B.P.Ed.
M.P.Ed.
B.Tech
M.Phil
BBA
M.S.
BCom
M.Sc. (Biology)
BSc
M.Sc. (Botany)
BUMS
M.Sc. (Chemistry)
Diploma Course in Japanese Language
M.Sc. (Mathematics)
Diploma in Russian
M.Sc. (Physics)
LLM
M.Sc.(Bio-technology)
M. Sc. (Computer Science)
M.Tech
M.A (Marathi)
MA. English
M.A.
MBA
M.A. (History)
P.G. Diploma In Homeopathy
M.A. (Mathematics)
Ph.D
M.A. (Philosophy)
Ph.D. (Law)

ที่อยู่มหาวิทยาลัย
Address : Pune, Maharashtra, India
Tel: 25601099 / 25696061 / 25690062 / 25696064 / 25696065
Email : dyracademic@unipune.ernet.in
Website : http://www.unipune.ernet.in/


  4. Bangalore University : Government

มหาวิทยาลัยบังกาลอร์ก่อตั้งในปี 1964 ที่บังกาลอร์ มหาวิทยาลัยค่อนข้างจะมีเนื้อที่มากกว่า 1111 เอเคอร์ และมีการศึกษาในชั้นระดับ Post graduate courses มากกว่า 50 ซึ่งได้รับการบันทึกหรือระบุโดย UGC ของอินเดีย

Courses ที่เปิดสอน


B.A
BSc
B.A (Economics)
LL.B.
B.A (History)
LLM
B.A (Political Science)
M.Com.
B.A (Sociology)
M.Ed
B.Ed
M.Sc
BCom
Ph.D

ที่อยู่ของมหาวิทยาลัย

Address : Bangalore University
Jnana Bharathi Campus
Jnana Bharathi Post
Bangalore - 560 056
Karntaka, India
Tel: 080 - 22961005
Email: vc@bub.ernet.in
Email : vc@bub.ernet.in
Website : http://www.bub.ernet.in/



5.University of Madras : Government

มหาวิทยาลัยมัทราส ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1857 เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ท๊อปของอินเดียและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย ได้รับการระบุจาก UGC&NAAC ของอินเดียว่ามีคุณภาพค่อนข้างสูง มี 4 วิทยาลัยเขต และ 68 คณะ

Courses ที่เปิดสอน

B.A
M.A. (Sociology)
B.Ed
M.A. (Statistics)
B.Lib.Sc.
M.C.A.
BCom
M.Com.
BSc
M.Phil. (Arabic)
Certificate course in Modern Arabic
M.Phil. (Chemistry)
Certificate course in Sanskrit
M.Phil. (Philosophy)
Certificate Course in Urdu
M.Phil. (Russian)
Certificate Courses in Tamil
M.Phil. (Zoology)
Certificate in Hindi
M.Phil.(Economics))
Certificate in Punjabi
M.Phil.(English)
Diploma Course in Urdu
M.Phil.(History)
Diploma in Hindi
M.Phil.(Political Science)
Diploma in Russian
M.Phil.(Sanskrit)
M.A. (Arabic)
M.Sc. (Biology)
M.A. (Economics)
M.Sc. (Botany)
M.A. (History)
M.Sc. (Chemistry)
M.A. (Liguistics)
M.Sc. (Geology)
M.A. (Music)
M.Sc. (Mathematics)
M.A. (Philosophy)
M.Sc. (Physics)
M.A. (Political Science)
M.Sc. (Zoology)
M.A. (Psychology)
MA. English
M.A. (Sanskrit)
MBA

ที่อยู่ของมหาวิทยาลัย

Address : Vice-Chancellor, University of Madras
Chepauk, Chennai-600 005,
Tamil Nadu, South India
Fax: 91-44-25367654
E-mail:vcoffice@unom.ac.in, vchome@md3.vsnl.net.in
Tel : 25399563
Email : vcoffice@unom.ac.in
Website : http://www.unom.ac.in/
                                                                                   
                                                                                       
6. Banaras Hindu University : Government

มหาวิทยาลัย บาณารัส ฮินดู เป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ในระหว่าง 1-3 ของอินเดีย ที่มีนักศึกษา Research และวิทยาลัยเขตเยอะอันดับต้นๆของประเทศ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ถูกก่อตั้งในเมืองพาราณสีในปี 1916 ได้รับการระบุจาก UGC ของอินเดียว่า มีนักศึกษาประมาณ 35,000 คน รวมทั้งนักศึกษาต่างชาติ ทั่วทุกมุมโลกมาเรียนยังมหาวิทยาลัยแห่งนี้มากที่สุด


Courses ที่เปิดสอน


B.A
M.B.B.S.
B.A. (Arts) English
M.C.A.
B.A. (Arts) Hindi
M.D.
B.A.M.S.
M.D. (Physiology)
B.Ed
M.Ed
B.Tech (Chemical Engineering)
M.Pharm
B.Tech (Computer Science & Engg.)
M.S.
B.Tech. (Civil Engineering)
M.S. (ENT)
B.Tech. (Electrical Engineering)
M.Tech (Civil Engineering)
B.Tech. (Mechanical Engineering)
M.Tech (Mechanical Engineering)
BCom
M.Tech. (Information Technology)
LL.B.
MBA
LLM
Ph.D

ที่อยู่ของมหาวิทยาลัย

Address : Banaras Hindu University
Varanasi, Uttar Pradesh, India
Ph:- 230-7220, 2368938
Email : coord@bhu.ac.in
Website : http://www.bhu.ac.in/

7. Jawaharlal Nehru University (JNU) ,: Government

มหาวิทยาลัย JNU ชื่อเต็มๆ ก็คือ Jawaharlal Nehru University ถูกก่อตั้งในปี 1970 ถูกรับรองโดย UGC ของอินเดีย มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีเนื้อที่มากกว่า 1,000 เอเคอร์ ตั้งที่เมืองหลวงนิวเดลฮี

Courses ที่เปิดสอน


M. Sc. (Biotechnology)
M.Sc (Environmental Science and Technology)
M.A.
M.Tech (Biotechnology)
M.A. (Sanskrit)
M.Tech. (Computer Science)
M.C.A.
M.Tech. (Information Technology)
M.Phil
Ph.D
M.Phil. (African Studies)
Ph.D. (Law)
M.Sc
Ph.D. (Sanskrit)
M.Sc (Agriculture)

ที่อยู่ของมหาวิทยาลัย
Address : New Mehrauli Road, New Delhi 110067.
Phones: +91-11-26742676, 26742575, 26741557 Fax: 26742580
Email : webmaster@mail.jnu.ac.in
Website : http://www.jnu.ac.in/

                                                                                 
8.University of Calcutta : Government

มหาวิทยาลัยแห่งเมืองกัลกัลต้า University of Calcutta หรือเป็นที่รู้จักอีกชื่อหนึ่งก็คือมหาวิทยาลัยกัลกัลต้า Calcutta University ถูกก่อตั้งในปี 1857 เป็นอีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง ที่มีอันดับท๊อปในบรรดามหาวิทยาลัยต่างๆในอินเดีย มหาวิทยาลัยแห่งนี้ถูกรับรองโดย UGC และเป็นมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างเก่าแก่ที่สุดในอินเดียอีกด้วย


Courses ที่เปิดสอน


B.A
M.Sc (Agriculture)
B.A.L.L.B
M.Sc. (Ag.) Plant Protection
B.Ed
M.Sc. (Botany)
BCom
M.Sc. (Chemistry)
BSc
M.Sc. (Geology)
LLM
M.Sc. (Physics)
M.A. (Arabic)
M.Sc. (Zoology)
M.A. (Bengali)
M.Sc.(Bio-technology)
M.A. (Economics)
MA. English
M.A. (Persian)
MBA(FINANCE)
M.A. (Philosophy)
Ph.D (Agriculture)
M.A. (Political Science)
Ph.D. (Hindi)
M.A. (Sociology)
Ph.D. (Philosophy)
M.Com.
Ph.D. (Social Work)
M.Ed
Ph.D. (Zoology)
M.Phil. (Philosophy)
Ph.D.(Botany)
M.Phil. (Social Work)
Ph.D.(Economics)
M.Phil. (Sociology)
Ph.D.(Education)

ที่อยู่ของมหาวิทยาลัย
Address : Senate House, 87 /1 College Street, Kolkata-700 073,
Website : http://www.caluniv.ac.in/

                                                                         
9.Panjab University, Chandigarh ,: Government

มหาวิทยาลัยปัญจาบ ถูกก่อตั้งในปี 1882 เป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่มีความเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย มหาวิทยาลัยมีเนื้อที่มากกว่า 550 เอเคอร์ อยู่ที่เมืองจันดิกาฮ์ ได้ถูกการรับรองจาก UGC อินเดีย  สาขาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง คือ Arts, Education, Business management, Engineering, Law, languages, Medical sciences, Pharmacy.


Courses ที่เปิดสอน


B.E. (Computer Science and Engineering)
M.Phil.(English)
B.E. (Electronics & Communication Engineering)
M.Phil.(History)
B.E. (Information Technology)
M.Sc. (Mathematics)
B.E. (Mechanical Engineering)
M.Sc. (Statistics)
B.Pharm
MBA
B.Sc. (Hons) Chemistry
Ph.D. (Anthropology)
B.Sc. (Hons) Geology
Ph.D. (Commerce)
B.Sc. (Hons) Mathematics
Ph.D. (English)
B.Sc. (Hons) Microbiology
Ph.D. (Hindi)
B.Sc. (Hons) Physics
Ph.D. (History)
B.Sc. (Hons) Zoology
Ph.D. (Linguistics)
LL.B (Hons.)
Ph.D. (Music)
LL.B.
Ph.D. (Persian)
LLM
Ph.D. (Philosophy)
M.C.A.
Ph.D. (Physics)
M.Com.
Ph.D. (Political Science)
M.E. (Electronics & Communication)
Ph.D. (Psychology)
M.Ed
Ph.D. (Punjabi)
M.Lib.Sc
Ph.D. (Russian)
M.Phil. (Botany)
Ph.D. (Sanskrit)
M.Phil. (Chemistry)
Ph.D. (Sociology)
M.Phil. (Philosophy)
Ph.D. (Urdu)
M.Phil. (Sociology)
Ph.D.(Botany)
M.Phil. (Statistics)
Ph.D.(Chemistry)
M.Phil. (Zoology)
Ph.D.(Economics)
M.Phil.(Economics))
Ph.D.(Geology)

ที่อยู่ของมหาวิทยาลัย

Address : Panjab University

Chandigarh
Ph:- 0172- 2784869, 2534866, 2534818, 2534819
Email : regr@pu.ac.in
Website : http://puchd.ac.in/

10.University of Lucknow

มหาวิทยาลัยลัคเนาว์ ถูกก่อตั้งขึ้นมาในปี 1921 มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับการรับรองจาก UGC อินเดีย และได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย ในภาคเหนือของอินเดีย อยู่ในรัฐ UP หรือเป็นเมืองหลวงของรัฐ UP


Courses ที่เปิดสอน


B.A
M.Com.
B.Ed
M.Ed
B.Lib.Sc.
M.Phil. (Philosophy)
B.P.Ed.
M.Phil.(Education)
BBA
M.Phil.(English)
BCom
M.Phil.(History)
LL.B.
M.Phil.(Political Science)
LLM
M.Sc. (Botany)
M.A. (Economics)
M.Sc. (Chemistry)
M.A. (Hindi)
M.Sc. (Geology)
M.A. (History)
M.Sc. (Mathematics)
M.A. (Liguistics)
M.Sc. (Physics)
M.A. (Philosophy)
M.Sc. (Zoology)
M.A. (Psychology)
MBA
M.A. (Sanskrit)
MBA(FINANCE)
M.A. (Social Work)
MBA(HR)
M.A. (Sociology)
MBA(MARKETING)
M.A. (Tamil)
MBA(Media Management)
M.A. (Urdu)


ที่อยู่ของมหาวิทยาลัย

Address : IPPR Center,

University of Lucknow
Lucknow
Phone: 0522-2740086
Email:info@lkouniv.ac.in
Email : info@lkouniv.ac.in
Website : http://www.lkouniv.ac.in/


11.Jamia Millia Islamia
                                                                             

มหาวิทยาลัย Jamia Millia Islamia ถือได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยระดับชาติของมุสลิม ถูกก่อตั้งในปี 1920 โดยการอนุมัติของรัฐสภาอินเดียในปี 1988 มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งในเมืองหลวง นิวเดลฮี มีหลักสูตรในด้านระดับปริญญาตรี โท และเอกในหลายๆสาขาวิชา


Courses ที่เปิดสอน


B.A. (Hons) Arabic
M.Ed
B.A. (Hons) Hindi
M.Phil. (Hindi)
B.Arch
M.Phil. (Urdu)
B.Ed
M.Phil.(Education)
B.Sc (Chemistry)
M.Phil.(English)
B.Tech (Electronic & Communication Engg.)
M.Sc. (Chemistry)
B.Tech. (Civil Engineering)
M.Tech (Civil Engineering)
B.Tech. (Mechanical Engineering)
M.Tech (Mechanical Engineering)
Bachelor of Fine Arts(BFA)
MBA
M.A (Islamic Studies)
Ph.D. (Arabic)
M.A. (Arabic)
Ph.D. (English)
M.A. (Hindi)
Ph.D. (Persian)
M.A. (Persian)
Ph.D. (Urdu)
M.A. (Urdu)
Ph.D.(Chemistry)
M.Arch
Ph.D.(Education)
M.C.A.


ที่อยู่ของมหาวิทยาลัย
Address : Jamia Millia Islamia,
Jamia Nagar, New Delhi-110025, India
Phone: +91(11)26981717
Website : http://www.jmi.nic.in/

12.Anna University :Government


มหาวิทยาลัยแอนนา ถูกก่อตั้งในปี 1978 ถือได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของอินเดีย ทางภาคใต้ของอินเดีย ได้รับการรับรองจาก UGC ของอินเดีย มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ตั้งที่เชนไน เป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาต่างชาติให้ความสนใจมาศึกษาเล่าเรียน  เมื่อเทียบกับหลายๆมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ยังถือว่าก่อตั้งได้ไม่นาน แต่ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นมหาวิทยาลัยดีอีกแห่งหนึ่งในอินเดีย                                                                              

Courses ที่เปิดสอน


B.Arch
M.Arch
B.E. (Aeronautical Engineering)
M.E. (Construction Engineering and Management)
B.E. (Agricultural and Irrigation Engineering )
M.E. (Geoinformatics)
B.E. (Civil Engineering)
M.E. (Irrigation Water Management)
B.E. (Electrical and Electronics Engineering)
M.E. (Power Apparatus & System)
B.E. (Electronics & Communication Engineering)
M.E. (Power Electronics and Drives)
B.E. (Electronics & Instrumentation Engineering)
M.E. (Power Systems Engineering)
B.E. (Geo Informatics)
M.E. (Printing Technology)
B.E. (Industrial Engineering)
M.E. (Quality Engineering & Management)
B.E. (Manufacturing Engineering)
M.E. (Refrigeration and Air Conditioning)
B.E. (Material Science and Engineering)
M.E. (Software Engineering)
B.E. (Mechanical Engineering)
M.E. (Soil Mechanics and Foundation Engineering)
B.E. (Mining Engineering)
M.E. (Structural Engineering)
B.E. (Printing Technology)
M.E. (Structural Engineering)
B.Tech (Ceramic Technology)
M.E. (Thermal Engineering)
B.Tech (Computer Science & Engg.)
M.E. (Urban Engineering)
B.Tech (Food Technology)
M.E. (VLSI Design)
B.Tech (Industrial Bio-Technology)
M.Plan
B.Tech (Pharmaceutical Technology)
M.Tech (Bio-Pharmaceutical Technology)
B.Tech (Textile Technology)
M.Tech (Biotechnology)
B.Tech. ( Automobile Engineering)
M.Tech. (Remote Sensing)
B.Tech. (Information Technology)
ที่อยู่ของมหาวิทยาลัย

Address : Anna University
Chennai, Tamil Nadu, India
Ph:- 22351445, 22352161, 22352272
Email : vc@annauniv.edu
Website : http://www.annauniv.edu/

หมายเหตุ. UGC และ NAAC คือ  Indian Universities are supported and funded by University Grants Commission (UGC). UGC also provides recognition to the universities in India through National Assessment and Accreditation Council (NAAC).                                                                               

นมัสเตอินเดีย: ทำไมคนไทยบางกลุ่ม ถึงไม่อยากมาเรียนอินเดีย

                                                                                     
ครับ! เป็นที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันมีคนไทยตบเท้าเข้ามาเรียนในอินเดียเป็นจำนวนมาก อาจจะเนื่องจากเห็นลู่ทางในการศึกษา ที่ไม่แพงมากนักและอยู่ใกล้ประเทศไทย การเดินทางไปมาสะดวกสบาย บางครั้งก็หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้มากนักว่าทำไม คนไทยกลุ่มหนึ่งถึงอยากมาเรียนอินเดีย ทั้งที่คนไทยอีกกลุ่มหนึ่งไม่อยากจะมา เท่าที่เคยได้พูดคุยหรือสอบถาม ถึงคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ไม่อยากจะมาเรียน ไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่า อินเดียสกปรก ขอทานเยอะ เป็นประเทศยากจน ไม่น่าอยู่ แขกกลิ่นตัวเหม็น ไปก็ได้แต่ภาษาอังกฤษสำเนียงแขก สรุปคร่าวๆก็คือมีเหตุผลเพียงเท่านี้เอง ที่ไม่อยากมา เหตุที่ยกมา ดูเหมือนว่า มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการศึกษาเลย และเป็นที่น่าเสียดายว่า ยังมีคนไทยกลุ่มหนึ่งจริงๆนะครับ ที่คิดเอาเองว่า อินเดียสกปรกทั้งประเทศ ทั้งที่ประเทศอินเดียกว้างใหญ่มากๆ จากภาคใต้ถึงภาคเหนือเดินทางโดยรถไฟใช้เวลาเกือบอาทิตย์ และประชากรคนของเขาบางรัฐเยอะกว่าเมืองไทยเกือบสามเท่า ดังนั้นความยากจนย่อมมีแน่นอน บ้านเมืองย่อมสกปรกแน่นอน คนที่ไม่มีความรู้ ความไม่เท่าเทียมกันย่อมสร้างปัญหาให้แน่นอน แต่หากเรามาเอาความรู้ สิ่งเหล่านี้มันอยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัยทั้งนั้น

มีคำพูดคำหนึ่ง มันสอนผมตั้งแต่ผมลงเครื่องบินเลย นั่นก็คือ ผมมาเรียน อินเดียจะเป็นอย่างไรก็ช่างแมร่งหัวเขา (ขอโทษที่ผมพูดหยาบคาย แต่ก่อนผมคิดอย่างนี้จริงๆ) ผมจะมองอินเดียอย่างที่เขาเป็น ถึงแม้บางอย่างผมอยากให้เขาเป็นเหมือนอย่างที่ใจผมอยากให้เขาเป็น แต่เขาก็จะเป็นอย่างที่เขาเป็น ก็มีบ้างที่ผมมักจะเสียอารมณ์เพราะระบบ มีบ้างที่บางอย่างผมรับไม่ได้ แต่ผมก็อยู่ได้ ในท่ามกลางความวุ่นวาย ไม่น่าเชื่อแต่ต้องเชื่อ ผมก็อยู่มาได้หลายปีแล้ว ผมอยู่เพื่อการศึกษา และความลำบากเหล่านั้น มันไม่มีสอนในห้องเรียนครับ ที่เมืองไทยไม่มีขาย

ระบบที่นี้ล่าช้าหรือไม่เหมือนบ้านเรา แต่นี่คือเสน่ห์ของแขกจริงๆนะครับ ศ.ลาลจี เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ผมเอง ท่านเคยพูดเอาไว้ว่า หากใครอยู่อินเดียได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกใบนี้ หากใครขับรถในอินเดียได้ ขับรถที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ อินเดียคือสนามฝึกชั้นยอดก่อนที่จะออกไปสู้รบปรบมือกับใครอีกหลายๆคนภายนอกมหาวิทยาลัย บางครั้งความเห็นแก่ตัวของแขก ก็สอนทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ทำให้เราระมัดระวังตัวเองมากขึ้น มีสติมีปัญญากับการใช้ชีวิตมากขึ้น ส่วนเรื่องมาเรียนอินเดียแล้วจะได้ภาษาอังกฤษสำเนียงแขกกลับไป โปรดกลับไปอ่านในหัวข้อเรียนภาษาอังกฤษที่อินเดียนะครับ ผมได้บอกเหตุผลในเรื่องนี้ในหัวข้อนั้น ถึงข้อดีและข้อเสียในการเรียนภาษาอังกฤษในอินเดีย 

มันก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและมุมมองของแต่ละท่าน ว่าทำไมถึงเลือกอินเดียเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ในการมาศึกษาเล่าเรียน แต่สำหรับผู้เขียน มีความเห็นส่วนตัว ตรงที่ว่า อินเดียคือแหล่งที่เรียนรู้ ศาสนาและวัฒนธรรมที่เก่าแก่ คงไม่มีใครปฎิเสธใช่ไหมว่า อินเดียและจีนคือประเทศตะวันออกที่มีอู่อารยธรรมยาวนานมาก ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาจีนและปรัชญาอินเดีย ล้วนแล้วมีอิทธิพลต่อความคิดของซีกโลกตะวันออกเป็นอย่างมาก เช่นพระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู ดูได้จากเมืองไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์(ฮินดู)เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมบางอย่าง เช่น แรกนาขวัญ การตั้งชื่อ เป็นต้น เหล่านี้ล้วนแล้ว กำเนิดมาจากศาสนาพราหมณ์ ถึงแม้เมืองไทยส่วนใหญ่จะนับถือพระพุทธศาสนา แต่อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ก็มีอิทธิพลต่อความคิดและการดำรงชีวิตของคนไทยอย่างปฎิเสธไม่ได้ ดังนั้นเมื่อได้มาศึกษายังอินเดีย เหมือนได้มาเห็นและสัมผัสถึงกลิ่นไอของต้นน้ำแห่งศรัทธาและปรัชญาของคนอินเดียด้วยตัวเอง

                                                                                     

ประการที่สอง อินเดียไม่ได้มองการศึกษาเป็นธุรกิจเหมือนบางประเทศ ที่ปริญญาโทและปริญญาเอก เรียนได้เฉพาะคนมีเงินเท่านั้น ในรั้วมหาวิทยาลัยคือแหล่งที่นักเรียนมาแสวงหาความรู้จริงๆ และสิ่งที่เราจะได้ติดปลายนวมมาด้วยนั่นก็คือ วิสัยทัศน์ได้เห็นความแตกต่างระหว่างการปกครองและระบบการเรียนการสอนระหว่างบ้านเราและบ้านเขา บ้านเราขาดอะไร ควรเสริมอะไร อินเดียมีอะไรมีดีอะไรที่บ้านเรายังขาด หรือเมืองไทยมีอะไร ที่อินเดียยังไม่มีหรือยังขาด ดั่งปราชญ์เหลาจื้อได้พูดเอาไว้ ในโลกนี้เรารู้ว่ามีคนดำ ก็เพราะมีคนขาว มีคนสูงก็เพราะมีคนเตี้ย มีคนขี้เหร่ก็เพราะมีคนสวย เมื่อได้ยินแต่เขาเล่าว่าอินเดียสกปรก ไม่ดี แต่ไม่เคยมา แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอินเดียมันต่างจากเมืองไทยอย่างไร แล้วเมืองไทยดีกว่าอินเดียอย่างไร ทำไมคนไทยกลุ่มหนึ่งและต่างชาติกลุ่มหนึ่งถึงอยากจะมาเรียน หากอินเดียไม่ดี ทำไมถึงมีคนมาเรียน!

สุดท้ายแต่อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดของเหตุผล นั่นก็คือ ขอให้ได้พูดภาษาอังกฤษได้บ้าง เพราะเรียนที่เมืองไทย เราต้องยอมรับว่า นักศึกษาบางท่านแม้จะเรียนจบปริญญาโทหรือปริญญาเอก แต่ก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ผมขอยืนยันว่า ระบบการสอนภาษาอังกฤษที่เมืองไทยล้มเหลว เพราะสอนผิดวิธี เพราะเน้นสอนไวยากรณ์มากเกินไป แต่ไม่ค่อยสอนในด้านการฝึกฟัง การพูด และสนทนา เป็นเหตุทำให้นักศึกษาหรือนักเรียนเป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะจบเอกอังกฤษหรือเรียนภาษาอังกฤษ แต่ก็ยังไม่กล้าใช้ภาษาอังกฤษเพราะกลัวพูดผิดไวยากรณ์ บางคนถึงกับเชื่อสนิทใจว่า หากต้องการพูดภาษาอังกฤษเก่ง จำเป็นต้องจำไวยากรณ์ทั้ง 12 tenses ให้ได้เสียก่อน ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ คนไทยพูดภาษาไทยเก่งมาก แต่จะมีสักกี่คนที่เก่งไวยากรณ์ภาษาไทย มีคนไทยเป็นจำนวนมาก ที่เก่งไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมากกว่าฝรั่ง เพราะเราเรียนแต่ไวยากรณ์ ไม่ค่อยได้เรียนการฟัง การพูด ดังนั้นคนไทยกลุ่มหนึ่งจึงคิดว่า การมาเรียนอินเดีย น่าจะทำให้ตัวเองได้ฟัง ได้พูดภาษาอังกฤษบ้าง และสถานะการณ์การเงินมีขีดจำกัด หากทุกคนรวยและมีเงิน เขาไม่มาอินเดียกันหรอกครับ ประเทศอังกฤษ อเมริกาหรือแคนาดา ย่อมเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ แต่หากไปประเทศเหล่านั้นไม่ได้ อินเดียคือตอบคำตอบที่พอทดแทนได้

                                                                                    

ทุกคนย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง แต่หากสิ่งที่เราเลือก มันเลือกได้ระดับหนึ่ง อินเดียอาจจะดูขี้เหร่สำหรับใครบางคน แต่อาจจะดูดีสำหรับใครอีกหลายๆคน สำหรับผม อินเดียอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่หากคุณฝันที่จะไปถึงดวงดาว แต่ไปถึงแค่บนยอดเขา มันก็ยังดีกว่า อยู่ตีนเขาไม่ใช่เหรอ ครับ! บางครั้ง อินเดียก็คือยอดเขาสำหรับอีกหลายๆคน

นมัสเตอินเดีย: ขอทุนฟรีไปเรียนอินเดีย

                              
                                                                                        
สำหรับท่านใดที่ต้องการทุนเรียนฟรี ที่มีคุณสมบัติเรียนดีแต่ยากจนหรือเรียนดีแต่ขี้เกียจ ในแต่ละปีรัฐบาลอินเดียให้ทุนแก่นักศึกษาไทย จำนวน 100 คน ขึ้นไป (โดยประมาณนะครับ) บางปีก็ไม่ถึง อาจจะเนื่องจากมีคนสมัครน้อยหรือคุณสมบัติของผู้สมัครไม่ถึงพร้อม ครับ! ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องนำผลสอบภาษาอังกฤษมายื่น เพราะในขั้นตอนการคัดเลือกผู้ได้รับทุนรัฐบาลอินเดียจะใช้ข้อสอบที่ออกโดย lCCR สามารถเข้าไปดาวน์โหลดใบสมัครได้จากเว็บไซต์ www.iccrindia.org และควรจะจัดการเรื่องเอกสารการสมัครให้เรียบร้อยในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี นอกจากนี้การฝึกฝนทักษะทางภาษา เป็นเรื่องสำคัญ เพราะมหาวิทยาลัยในอินเดียมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ หากมีความรู้เรื่องภาษาฮินดี้ก็ถือว่าเป็นข้อดีกับการพิจารณาทุนเรียนภาษาฮินดี้และเป็นประโยชน์กับการใช้ชีวิตประจำวันเช่นกัน

การขอรับทุนรัฐบาลอินเดียต้องดำเนินการผ่านสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทยเท่านั้น ทั้งนี้มีหน่วยงานที่ชื่อว่า The lndian Council for Culture Relations (lCCR) เป็นผู้ดูแลในเรื่องการศึกษาของนักเรียนต่างชาติ ทุนการศึกษาและการพิจารณาคัดเลือก รัฐบาลอินเดียมีทุนที่ให้นักศึกษาในประเทศไทยเป็นประจำทุกปี ครอบคลุมในหลายด้านยกเว้นสาขาแพทยศาสตร์และทันตกรรมศาสตร์เท่านั้น เปิดรับช่วงเดือนมกราคม
                               
                                                                                 
ทุนรัฐบาลอินเดียแบ่งเป็นหลายประเภท ได้แก่

General Cultural Scholarship Scheme (GCSS) รัฐบาลอินเดียมอบทุนการศึกษาจำนวน 10 ทุน สำหรับนักศึกษาชาวไทยเป็นประจำทุกปี ทุนที่ให้ครอบคลุมถึงค่าครองชีพ ค่าเล่าเรียน ค่าที่พักและค่ารักษาพยาบาล

Indo-Thailand Cultural Exchange Programme (CEP) จำนวน 4 ทุน ข้อกำหนดและสิทธิ์ของนักเรียนทุนที่จะได้รับมีเงื่อนไขเดียวกันกับทุนรัฐบาลอินเดีย ประเภท GCSS

ทุนทั้ง 2 ประเภทข้างต้น สามารถเลือกเรียนได้หลายหลักสูตรในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของประเทศอินเดีย ยกเว้นสาขาแพทยศาสตร์และทันตกรรมศาสตร์

Ayush Scholarship จำนวน 5 ทุน สำหรับผู้ที่สนใจเรียนในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก เพื่อศึกษาต่อในหลักสูตรที่เกี่ยวกันระบบการแพทย์แผนโบราณ เช่น Ayurveda (วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับชีวิต แนวคิดเกี่ยวกับการรักษาอย่างเป็นธรรมชาติ), Unani, Siddha และ Homeopathy ข้อกำหนดและสิทธิ์ของนักเรียนทุนที่จะได้รับมีเงื่อนไขเดียวกันกับทุนรัฐบาลอินเดีย ประเภท GCSS

MGC Scholarship lCCR โดย lCCR มอบ 10 ทุน ให้กับประเทศสมาขิกของ Mekong-Ganga Cooperation (MGC) เพื่อศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของประเทศอนุภาคแม่น้ำโขง-คงคา เช่น ประวัติศาสตร์ ความร่วมมือของประเทศสมาชิก ภาษาบาลี สันสกฤต พุทธศาสนา โบราณคดี และหัตถกรรม เป็นต้น

Hindi Scholarship สถาบันส่วนกลางภาษาฮินดี้ของรัฐบาลอินเดีย ให้ทุนแก่นักเรียนไทยที่ต้องการเรียนภาษาฮินดี้เป็นเวลา 1 ปี จำนวน 4 ทุน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและรายละเอียดได้ที่ สถานทูตอินเดีย หรือศูนย์สันสฤตศึกษา (Sanskrit Studies Centre) ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เว็บไซต์ www.ssc.su.ac.th

India Technical and Economic Cooperation (ITEC) โดยเมื่อปีที่แล้วรัฐบาลอินเดียมอบทุนนี้ให้แก่ชาวไทย จำนวน 60 ทุน เพื่อไปฝึกอบรมระยะสั้นในสถาบันที่เกี่ยวข้อง ณ ประเทศอินเดีย (ค่าใช้จ่ายรวมถึงค่าครองชีพ ค่าตำราเรียน ค่าเครื่องบิน)

                       
                                                                                         
ข้อแนะนำสำคัญกับการสมัครทุนรัฐบาลอินเดีย

- เตรียมเอกสารให้ครบ 5 ชุด ได้แก่ แบบฟอร์มการขอทุนของทางสถานทูต ใบแสดงผลการเรียน สำเนาหนังสือเดินทาง สำเนาปริญญาบัตรและประกาศนียบัตรผลงาน แต่ละชุดต้องมีภาษาอังกฤษแปลควบคู่มาด้วย

- ถ้าจะสมัครทุนทางด้านศิลปะการแสดง ควรเตรียมวิดีโอหรือเทปเกี่ยวกับการแสดงมาด้วยจะดีมาก

- ควรมีความสามารถและทักษะการใช้ภาษาอังกฤษได้ดีพอ (หลักสูตรการสอนเป็นภาษาอังกฤษ)

- นักศึกษาที่ยังไม่เคยไปศึกษาที่อินเดีย จะได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก

- ใบสมัครที่เกี่ยวกับสาขาแพทยศาสตร์ หรือทันตกรรมศาสตร์จะไม่ได้รับการพิจารณา

- ต้องมีหลักฐานแสดงว่าไม่เป็นผู้ติดเชื้อ HIV


การสมัครทุน ควรเริ่มต้นที่ลองเข้าไปในเว็บไซต์ www.iccrindia.org หลังจากนั้นเตรียมเอกสารตามที่กำหนดให้ครบถ้วน ติดต่อดำเนินการผ่าน ณ สถานทูตอินเดียประจำประเทศไทย เตรียมสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์และต้องขอบอกก่อนว่าหากได้รับการอนุมัติจาก lCCR แต่ไม่ได้หมายความว่ามหาวิทยาลัยจะต้องยอมรับทุน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม



สถานทูตอินเดีย ที่ตั้ง : สุขุมวิท 23 (ซอยประสานมิตร) เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์ : 0-2258-0300-5 ต่อ 139 โทรสาร : 0-2258-4627

ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าประเทศอินเดีย ห้อง 1503 ชั้น15 อาคารกลาสเฮาส์ เลขที่ 1 สุขุมวิท25 ถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ 10110

นมัสเตอินเดีย: ตูละเบื่อกับคำว่า tomorrow come again

                                                                             
อย่างที่เกริ่นเอาไว้เป็นหัวข้อให้ฉกคิด กับคำว่า tomorrow come again หากแปลเป็นไทยหรือพูดให้ดูดีมีชาติตระกูลก็คือพรุ่งนี้มาใหม่นะ ในบรรดาคำพูดทั้งหลาย คำนี้ เป็นคำพูดแสลงหูและผมเกลียดที่สุด ตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ที่อินเดีย จริงๆนะครับ มันเหมือนเป็นคำปัดภาระของพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยตลอดจนเจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่เราติดต่อ สำหรับท่านใดที่เคยอยู่อินเดียหรือปัจจุบันกำลังอยู่ก็คงชินกับคำปัดภาระเหล่านี้ บางครั้งรู้สึกเบื่อหน่ายกับการรอคอย เป็นเวลานานแสนนาน พอไปติดต่อธุระการงานอะไร บางทียังไม่ได้คุยอะไรกันเลย แมร่งบอก พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ คำพูดเหล่านี้ท่านจะได้ยินตั้งแต่วันแรกของการมาเรียนหรือเดินเอกสารเลยก็ว่าได้นะครับ

งานบางอย่างหากมันจะทำให้เรานะ ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ก็สามารถทำได้ แต่มันไม่ทำ บางทีก็บอกให้ไปหาคนอื่น ทั้งที่เป็นหน้าที่ของมัน ครับ! สถานการณ์แบบนี้มันยังอยู่ในยุคที่ว่าเจ้าหน้าที่เป็นใหญ่ในสำนักงาน หากมันอารมณ์ดีมันก็ทำให้ หากมันอยากออกไปข้างนอกไปกินหมาก ไปกินชา มันก็ไป กว่าจะกลับมาเข้าทำงานก็เกือบจะเลิกงานแล้ว พอเห็นหน้าเรามันก็บอกว่านี่เวลาใกล้เลิกทำงานแล้วให้มาใหม่พรุ่งนี้ นี่คือระบบของแขกจริงๆ แต่จะเหมารวมว่าเป็นทั้งหมดประเทศอินเดียก็ไม่ได้ เพราะอินเดียไม่ได้เลวร้ายเสียทั้งหมด แต่รัฐที่ผมอยู่คนมันเป็นอย่างนี้จริงๆ ผมเลยเอาประสบการณ์ที่น่าเบื่อมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ฟังเอาไว้แล้วในอนาคตก็ให้ตัดสินใจว่าหากเจอเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเองแล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร

ผมจะบอกให้ก็ได้ว่าเราทำอะไรไม่ได้เลย เราต้องก้มหน้ายอมรับกฎหรือสภาพความเป็นอยู่แบบนั้น ผมไม่อยากแนะนำว่าจะต้องเอาของอะไรไปให้นะครับ เช่นของเล็กๆน้อย ยาหม่องหรือขนม เพราะยิ่งเราจะทำให้ระบบยุ่งไปกันใหญ่ ทางที่ดีก็คือพรุ่งนี้ก็มาใหม่ หากมันบอกว่าพรุ่งนี้มาใหม่เราก็มาใหม่ จนกว่ามันจะทำให้หรือจัดการธุระเราจนเสร็จ
                                                                                  
บางมหาวิทยาลัยเจ้าหน้าที่อยากได้โน้นได้นี่ จนเกินหน้าเกินหน้าก็มี มันก็ขึ้นอยู่กับเราอีกว่า เรามีอำนาจต่อรองเขาแค่ไหน ถ้าจนตัว ต้องให้จริงๆ ควรบอกว่าหากงานฉันเสร็จแล้ว ฉันจะเอาให้นะครับ หากเป็นครูอาจารย์ไม่ควรเอาของไปให้ที่ห้องเรียนหรือว่าที่คณะควรเอาไปให้ที่บ้านหรือให้ตอนที่ไม่มีคนเห็นจะเหมาะสมกว่า เพราะที่นี้ไม่เหมือนบ้านเรา แขกเขาห่วงหน้าตามากนะครับและกลัวนักศึกษาจะนินทาว่ารับของจากนักศึกษาต่างชาติ เขาเรียกว่า อยู่ให้เป็น จะได้กินให้นานๆ เราไม่ได้สอนหรือทำให้ระบบเขาเป็นแบบนี้ เพราะจริงๆแล้วระบบเขาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เราทำตัวไปตามกระแสสังคมของเขา มันจะทำให้คำว่า tomorrow come again กลายเป็น today you come อย่าลืมนะครับว่าพระพุทธเจ้าสอนคาถามัดใจเอาไว้นานแล้ว นั่นก็คือ ทาน การให้ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับ อันที่จริงทานกับสินบนมันก็คือการให้เหมือนกัน แต่อาจจะแตกต่างกันตรงเจตนาที่บริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์เท่านั้นเอง

ผมไม่รู้ว่า tomorrow come again จะอยู่เคียงข้างกับระบบของคนที่นี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ เมื่อวานฝรั่งก็กลับมาบ่นกับคำว่า tomorrow come again ทั้งๆที่ไปหาแล้ว 2 ครั้ง เห็นไหมครับ เราทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากทำใจ หากจะมาอยู่อินเดีย ท่องให้ขึ้นใจนะครับ tomorrow ตูจะคัมอะเกน

                                                                                 

นมัสเตอินเดีย:เล่าเรื่องด้วยภาพ อินเดี๊ย อินเดีย

ภาพ 1 ใบแทนความหมายได้มากมายหรืออาจจะแทนคำพูดได้หลายล้านคำ มีเรื่องมากมายที่อยากเล่าให้ฟัง แต่บางครั้งการเล่าเรื่องด้วยภาพ ก็อาจจะเป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่ทำให้ได้อรรถรสถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเป็นภาพที่สามารถพบเห็นได้ในเมืองพาราณสี แต่เชื่อเถอะ มีคนอีกหลายล้าน ที่ยังไม่รู้ว่าเขาทำอะไร เลยหยิบยกมาเล่าสู่กันฟัง ด้วยภาพ.....
                                                                       

สภาพบ้านเรือนของเมืองพาราณสีและภาพบรรยากาศแม่น้ำคงคา ช่วงนี้เป็นช่วงฤดุร้อน แม่น้ำคงคาเลยดูใส หากอยู่ในช่วงฤดูฝน ต้องส่ายหน้า พร้อมกับพูดว่า ดูไม่จืด! เนินทรายที่เห็น น้ำจะท่วมหมด ช่วงน้ำลด ซากโครงกระดูก เพียบ!


นี่คือภาพปกติของทุกตรอกซอกซอยในเมืองพาราณสี เห็นกองขยะที่ไหนจะเห็นมีวัวควายที่นั่นเพราะเราเกิดมาคู่กัน


สิบปากว่าไม่เท่ากับได้เห็นด้วยตาตัวเอง ย่านชุมชนบริเวณโกลโดเลียหรือใกล้ๆแม่น้ำคงคา ทุกซอยจะเป็นสภาพนี้เลย

แม่น้ำคงคาไม่ใช่มีแต่คนมาอาบน้ำหรือลอยบาปกันเท่านั้น พี่ควายก็มาอาบและลอยบาปกับเขาด้วย โดยที่เราก็ไม่รู้ว่า ควายเหล่านี้ไปทำความชั่วอะไรมา เชื่อปะ! บางโซนหรือบางท่า ที่เขามาอาบน้ำ เขากินน้ำคงคาด้วยนะ ด้านบนควายอาบ ด้านล่างคนอาบและกินน้ำด้วย ขณะที่ อีกที่เผาศพ โอ๊วแม่เจ้า!

นี่คือบ้านแห่งสุดท้ายของคนพาราณสี ไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไร สุดท้ายต้องมาเผาที่นี้หมด เขาจะมีเป็นท่าๆ เรียกว่า ฆาต หมายถึงท่า บ้านเรามักจะพูดกันติดปากว่า ดวงยังไม่ถึงฆาต ก็คือดวงไม่ถึงที่ตายนั่นเอง ส่วนท่าตรงนี้ก็คือท่ามณิกรรณิการ์ฆาต เป็นท่าเผาศพที่ใหญ่มาก วันหนึ่งมีคนมาเผาประมาณ 120-150 ต่อวันครับ เผาตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุดราชการ ในบริเวณงาน มีแต่ผู้ชายมาร่วมงาน เขาห้ามไม่ให้ผู้หญิงมาร่วมงานครับ เรื่องมันมีที่มาที่ไป ก็คือว่า ผุ้หญิงสมัยก่อนโน้นเขารักสามีจริงๆ เวลาสามีตาย ผู้หญิงบางกลุ่ม เลยกระโดเข้ากองไฟตาม พวกพราหมณ์ก็เลยแต่ง บทกลอนเป็นร้อยแก้ว ร้อยกรองบ้าง สรรเสริญผู้หญิงเหล่านั้นว่า เป็น "สตี" หมายถึงผู้กล้าหาญ หลังจากนั้นก็มีผู้หญิงทำตามๆกันมา บางคนก็ไม่อยากทำ แต่พ่อผัวแม่ผัว จับโยนใส่กองไฟก็มี เมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองอินเดีย เห็นว่ามันเป็นพิธีกรรมที่สยดสยอง เลยพยายามยกเลิก ในที่สุก็ยกเลิกได้ ดังนั้น ภาพที่เราเห็นจึงไม่ค่อยมีผู้หญิงมาร่วมในการเผาศพ (เหตุที่ผู้หญิงไม่มาร่วมงานเผา ไม่ขอเล่าแล้วกันนะครับ มันยาว)


กองไฟที่เราเห็นก็คือศพทั้งนั้นครับ ตรงนั้น 3 กองก็คือ 3 ศพ ส่วนอีกศพที่กำลังนอนอยู่ กำลังรอเอาศพไปอาบน้ำที่แม่น้ำ  สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ หลายคนมุงดู ที่อินเดียไม่ใช้โลงเหมือนบ้านเรา บ้านเราตายกันที หมดเงินกันเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน คนอินเดียเสียเงินไม่ถึงหมื่นเขาก็ตายกันได้ อบต. อบจ. หรือส่วนราชการ ควรจะมาดูงานที่นี้บ้างนะครับ

อาคารที่เราเห็น ก็คือวังเก่าของพระกษัตริย์ทั้งหลาย ที่มาสร้างเอาไว้ใกล้ๆแม่น้ำคงคา เหมือนเป็นบ้านพักตากอากาาศ เอาไว้ในยามที่ป่วยหรือต้องการมาอาบน้ำชำระบาป บริเวณริมแม่น้ำคงคามีอยู่หลายวังด้วยกันครับ พออินเดียยกเลิกระบบกษัตรย์บางหลังเขาก็เปิดเป็น Guest House ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพัก ดูรูปทรงอาคารทำด้วยหินทรายแดงทั้งหลัง ดูก็พอเดาออก คงไม่ใช่สามัญชนแน่ๆที่เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

เด็กนักเรียนกำลังไปเรียน นั่งอยู่บนรถสามล้อปั่น

อยากรู้ว่ารถนักเรียนที่เมืองพาราณสีเป็นอย่างไร ในช่วงเช้าๆและบ่ายๆเราจะเห็นภาพเหล่านี้จนชินตา

บ้านผมคันนี้เขาเรียกว่า ตุ๊กๆ เพราะภาษาเหนือคำว่า ตุ๊กๆ แปลว่าลำบาก อยากรู้ว่าลำบากขนาดไหน คันหนึ่งนั่งได้ประมาณ 10-12 คน

เป็นรถรับส่งนักเรียนชนิดสามล้อปั่น ดูแล้วก็กลัวแทนพ่อแม่เด็กจริงๆ แต่สำหรับที่นี้ ปลอดภัยครับ เห็นไหมครับ หน้าตาเด็กแต่ละคนยิ้มแย้มกันทุกคน


รถขนหมู เอ้ย รถขนหนูๆนักเรียน อีกแบบหนึ่ง ชนิดใช้พลังงานแสงพระอาทิตย์และโรตีล้วนๆ


เด็กๆนักเรียนกำลังกลับบ้าน

ดูแล้วก็ไม่ต้องเครียดแทนผู้ปกครองเด็กนะครับ เพราะพ่อแม่เด็กแต่ก่อนก็เคยนั่งแบบนี้เหมือนกัน

หากไปจับจ่ายซื้อของในตลาด สภาพที่จะได้เห็นก็คือของขายประเภทแบบนี้หล่ะครับ และจะเหมือนกันหมดทุกร้าน มีอย่างเดียวที่ไม่ค่อยเหมือนกันนั่นก็คือ ราคาและคุณภาพของสินค้า ซื้อของที่อินเดียระวังเอาไว้อย่างหนึ่งนะครับ แขกเจ้าของร้านชอบหยิบของที่เสียเอามาให้ ควรเลือกด้วยตัวเอง ซื้อของอะไรอย่าให้แขกหยิบให้ เด็ดขาดนะครับ ขอบอก
                                        
                                 ไม่ว่าจะซื้อผลไม้หรือผัก ควรเลือกเองหยิบใส่ถุงเอง จะดีที่สุดหากไม่อย่างนั้นได้ผักเน่าหรือผลไม้เน่าแน่ๆ ก็ไม่ทุกร้านนะครับ เกือบ 80% ที่ชอบทำ โดยเฉพาะหากคุณเป็นชาวต่างชาติ อินเดียนี่แปลกอย่างหนึ่งนะครับ ร้านไหนหากเราเป็นลูกค้าประจำ มันชอบขึ้นราคานะ บ้านเรามีแต่ลด แต่ที่นี้โกงเอาๆ
                                                                                                                                                          

ท่านเหล่านี้คือนักบวชฮินดู หรือเรียกอีกอย่างว่า สาธุ บาบาจีหรือสามีจี บางกลุ่มก็ยังชอบทรมานร่างกายของตนให้ได้รับความลำบากอยู่ เรียกว่า อัตตกิลมัตถานุโยค (ไม่รู้เขียนถูกหรือเปล่า) ส่วนบางกลุ่มก็ยัง นุ่งลมห่มฟ้ากันอยู่

                                                     
นักบวชเหล่านี้ปัจจุบันนี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่ แต่อาจจะไม่บ่อยนัก เนื่องจากจะมีเทศกาลสำคัญๆทางศาสนา ท่านถึงจะลงมาจากสถานที่ปฎิบัติ เช่น เทศกาลมหากุมภเมลา เป็นเทศกาลนักบวชชีเปลือยแก้ผ้า ช่วงนั้นเยอะมากๆ
                                                                                                                                                                                                             
ส่วนรูปนี้ ดูเหมือนท่านจะใบ้หวย บอกเป็นนัยยะ เห็นอะไร เป็นอะไร ก็เอาไปแทงกันเอาเองนะครับ ล้อเล่น จริงๆแล้ว ท่านกำลังฝึกโยคะครับ บางท่านก็ไม่ยอมให้ถ่าย บางท่านถ่ายแล้ว เราต้องเสียค่าลิขสิทธิ์นั่นก็คือ ต้องเสียตังค์ ค่าตัวแพงกว่านางแบบเสียอีก ให้ 5 รูปี ท่านไม่เอา อย่างน้อยๆ 20-30 รูป
สภาพการจราจรบนท้องถนน ส่วนมากจะมีฝุ่นเยอะ เนื่องจากโครงการถนนปลอดฝุ่น ยังไม่ผ่าน ครม


บนถนนมิตรภาพ วัวก็สามารถใช้ถนนนี้ได้เหมือนคนทั่วไปและก็ไม่มีใครจะว่าอะไรมันด้วย หากไม่อย่างนั้นเขาจะเรียกว่า ถนนมิตรภาพ เหร๊อ


สภาพบนท้องถนน บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัย นี่ถือว่าถนนโล่งสุดๆแล้วนะเนี่ย ขอบอก


ในช่วงเช้าคนอินเดียที่พาราณสีเขามักจะมาอาบน้ำกันที่แม่น้ำคงคา แต่คนที่นี้เรียกกังกา ลักษณะผู้หญิงมาอาบน้ำ เขาจะอาบกันทั้งชุด 

ช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนสิงหาคม คนอินเดียบางกลุ่มเขาจะแสวงบุญ ด้วยการไปไหว้แม่น้ำที่สำคัญๆหรือวัดที่สำคัญทางศาสนาฮินดู ช่วงนี้แม่น้ำที่คงคาก็ยังเยอะอยู่เพราะอยู่ในช่วงฤดูฝน

ส่วนตอนกลางคืนเขาจะทำพิธี อรติบูจา ข้างๆแม่น้ำคงคาทำทุกวันตอนเย็น บางช่วงก็เริ่มตั้งแต่ 19.00-21.00 ขึ้นอยู่กับฤดูด้วยหากเป็นฤดูหนาวก็จะย่นเวลาเข้ามาอีก เนื่องจากมืดไว

                                                 
ร้านหมอฟันข้างทางบริเวณ โกลโดลเลีย เมืองพาราณสี หนึ่งเดียวและเจ้าเดียว หากไปบริเวณนั้นจะเห็นร้านแกอยู่ข้างๆ ทาง ต้องเดินผ่านประมาณ 2 รอบ เพราะจะสับสนว่า ร้านแกคืออะไร เห็นแกทีไร มักจะนึกถึงหมอตำแยทุกที และผมคิดเสมอว่า สักวันหนึ่งจะเชิญแกมาออกรายการผมให้ได้ ในที่สุด ผมก็ได้อัญเชิญแกให้มาออกรายการเว็บ Blogของผม ทุกวันนี้แกก็ยังมีชีวิตอยู่ ปณิธานของแกก็คือ ขอทำฟันให้เป็นจริง ไม่ใช่ทำฝันให้เป็นจริงนะครับ หากใครมาพาราณสี แล้วเกิดปวดฟันเสียวฟัน มาใช้บริการแกได้ เปิดทุกวันไม่เว้นวันโกนวันพระครับ ส่วนเครื่องไม้เครื่องมือ ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จากการตากแดดหรือไม่ก็ต้มและลมควันรถข้างทาง เคยมีอยู่รายหนึ่ง แกมาถอนฟัน แกคงจะเสียวมากนะครับ น้ำตาไหลพรากเชียว เข้าไปถามๆดู แกบอกว่าแกไม่ได้ปวดฟัน แต่แกปวดหลัง แกแค่มานั่งมองดู คนข้างๆเท่านั้น แต่หมอฟันธงว่าฟันผุแน่นอน ก็เลยถอนให้
                                                                                               

ส่วนภาพที่ท่านเห็นนั่นก็คือ เราเห็นคนตายที่พาราณสี ส่วนมากเขาจะไม่ใส่โลง ใส่แคร่และก็เอาผ้าคลุม เอาไปเผาที่แม่น้ำคงคา ส่วนแคร่จะทำให้ด้วยไม้ไผ่ คล้ายๆ บันไดเล็กๆ งานศพที่นี้ค่อนข้างจะเรียบง่ายหรือแทบไม่มีอะไรทำให้เจ้าภาพยุ่งยากเลย ตายก็เอาไปเผาภายใน 24 ชั่วโมง เวลาเดินไปเขาจะร้องบทสวดทำนองว่า รามะนาม สัจจะ แฮ่ คำว่า แฮ่ๆ นี้ไม่ใช่เหนื่อยนะครับ เป็นกริยาของคำพูด ความหมายทำนองว่า พระนามของพระรามนั่นแหละเป็นความจริง หากจะอรรถาธิบายก็คือ ทุกคนเกิดมาต้องตาย เพราะนี้คือคำตอบสุดท้ายของทุกๆคนครับ จำเขามาพูดอีกทีหนึ่ง
       
เอาไว้จะมาอัพเดทให้ทีหลังนะครับ ส่วนวันนี้ยุงกัด จะตบยุงก็กลัวบาป ไปก่อนหล่ะ บ๊าย บาย รักนะ จุ๊บๆๆ