กาลหลายครั้ง ณ สังเวชฯ



กาลหลายครั้ง ณ สังเวชฯ

                มหาวิทยาลัยที่ผมได้มาศึกษา อยู่ในรัฐที่เต็มไปด้วยพุทธสถาน ผมจึงค่อนข้างโชคดีกว่านักศึกษาไทยหลายๆคนมาก หลายคนเขาชอบกล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยของผมบ้านนอก ผมขอเถียงครับว่า นอกจากบ้านนอกแล้ว ยังอยู่นอกเมืองอีกต่างหาก แต่ผมคิดว่ามันเป็นผลพลอยได้ นอกจากได้มาเรียนแล้ว หากมีเวลาว่างก็ได้มีโอกาสไปยังสถานที่เหล่านั้นบ่อยๆ รู้ไหมว่า ปีหนึ่ง มีคนไทยหลายพันคนมายังพุทธสถานเหล่านี้ ในฐานะที่ผมเองนอนเฝ้าและอยู่อินเดียมาหลายปี ก่อนที่จะมาเรียน ผมไม่เคยรู้เลยนะว่า แต่ละปีมีคนไทยเป็นจำนวนมาก เดินทางมาไหว้พระที่อินเดีย เห็นตัวเลขแล้ว จากหนังสือพิมพ์ที่แขกนำเสนอว่ามีจำนวนมากขึ้นทุกๆปี น่าตกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าจะมีคนเดินทางมาเยอะขนาดนี้ มันทวนกระแสกับภาพลักษณ์ของอินเดียอย่างสิ้นเชิง ขนาดเจ้าของประเทศยังงงถึงกับหนวดสั่น คนไทยอย่างผมจะไม่ให้โคตะระงงได้อย่างไร ผมมีความลับบางอย่าง อยากจะนำมาเปิดเผยในที่ลับ มันเป็นเรื่องเศร้าของคนที่มาไหว้พระที่อินเดีย
                เหตุที่ผมยกเรื่องเหล่านี้มาพูดให้ฟัง อาจจะเหมือนเป็นกระจกส่องให้คนที่กำลังจะมาหรือคิดอยากจะมาว่า มันมีความเหมือนที่แตกต่างของบุคคลที่มา ซึ่งผมในฐานะที่นอนเฝ้าที่นี้ได้สังเกตเห็น และนำมาเล่าให้ฟัง คงไม่มีอะไรเสียหาย และขออภัย หากจะพูดกันตรงๆ ลักษณะของคนไทยที่มาไหว้พระที่อินเดีย คือ
                มาเหมือนกัน แต่การมาต่างกัน
มาเพราะความสงสัย คนที่มาไหว้พระบางคน มาเพราะอานุภาพของพระพุทธเจ้าจริงๆ อย่างที่เคยบอกนั่นแหละครับ อินเดียไม่มีอะไรให้น่าดึงดูดใจชาวพุทธได้ดีเท่ากับพุทธสถานและพระพุทธเจ้าหรอก หากเอารายชื่อประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย มาขายทัวร์ ผมเชื่อแน่ว่า อินเดียคงจะเป็นทางเลือกสุดท้าย คนที่มาไหว้พระส่วนใหญ่มาเพื่อต้องการบุญ ได้มารู้ ได้มาเห็น จากคนที่ไม่ค่อยมีพื้นฐาน ก็ต้องมาปรับศรัทธา และปัญญากันอีกมาก บางคนเท่าที่ได้ทราบก็คือมาเพื่อให้รู้ เรื่องราวของพระพุทธเจ้า มีจริงหรือไม่ เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ที่น่าเศร้าใจมาก บางคนยังไม่รู้เลยว่า พระพุทธเจ้าชื่ออะไร บางคนหนักไปกว่านั้นอีก คิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องแต่ง เคยมีคนถามผมว่า เชื่อหรือไม่ว่าพระพุทธเจ้ามีจริง? หากเป็นคนป่วย คงต้องใส่เครื่องช่วยหายใจกันแล้ว อาการโคม่ามาก มันเป็นความรู้ขึ้นพื้นฐานที่ชาวพุทธควรจะรู้หรือต้องรู้ด้วยซ้ำไป เหมือนกับเมื่อเราศึกษาทะเล ก็ต้องศึกษาหาแหล่งน้ำ เมื่อศึกษาแหล่งน้ำ ก็ต้องศึกษาถึงต้นตอของน้ำ เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อศึกษาธรรม ก็ต้องศึกษาต้นตอของธรรม จริงอยู่ผมเชื่อว่า ชาวพุทธทุกคนมีธรรมะอยู่ในใจทุกๆคนอยู่แล้ว แต่หากเราไม่รู้เลยว่า พระพุทธเจ้าชื่ออะไร พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ แล้วเราจะเป็นชาวพุทธที่ดีได้อย่างไร แล้วจะไม่ให้เรียกว่าเรื่องเศร้าได้อย่างไร ชิมิ ชิมิ
            มาเพราะเพื่อนชวนมา บางคนไม่กล้ามาอินเดียคนเดียว กลัวลำบาก กลัวเหงา บางครั้งผมก็เคยคิดนะครับว่า หากผมไม่มีความรู้อะไรๆเลย เกี่ยวกับอินเดีย ผมก็กลัว และไม่กล้ามาคนเดียวเหมือนกัน เพราะยี่ห้ออินเดีย มันก็น่ากลัวมากพออยู่แล้ว สำหรับคนไทย สำหรับคนที่มาคนเดียวได้ ผมขอซูฮกให้เลย บางคนกลัวไม่ได้คุยหรือระบายกับใคร ก็ชักชวนกัลยามิตรมาด้วย บางคณะก็มาเป็นกรุ๊ปเล็กๆ คือชักชวนคนที่รู้ใจกันมา
            มาเพราะหมอดูทัก ในชีวิตนี้จะมีอะไรจะร้ายแรง เท่ากับหมอดูทักให้มาสะเคราะห์ด้วยการไหว้พระที่อินเดีย ถือได้ว่าเป็นคนที่มีอิทธิพล ในการดำรงชีวิตของเราเป็นอย่างมาก เป็นคนที่สามารถจับมือแฟนใครก็ได้ โดยที่แฟนเขาไม่เคยโกรธ และสามารถกุมชะตาชีวิตของคนบางคนได้
                มาเพราะแทนคนอื่น บนโลกเน่าๆใบนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ผมเคยมีโอกาสพูดคุยกับคนไทยหลายคนด้วยกัน ฟังบางคนเล่าให้ฟังแล้ว ก็ตกใจเล็กน้อย เพราะจริงๆ คนที่จะมาแต่มาไม่ได้ ส่วนคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะมา แต่ได้มา (แทน)บางคนเหลือเวลาไม่กี่วันจะถึงวันเดินทางแล้ว พ่อแม่ป่วยบ้าง มีเหตุจำเป็นที่ทำให้มาไม่ได้บ้าง เลยต้องให้ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนมาแทน กรณีอย่างนี้ก็มี

มาเพื่อขอ ตั้งใจมาเพื่อขอให้ให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ขอให้รวย ขอให้ถูกหวย ขอให้ขายที่ดินได้ ขอให้หน้าที่การงานเจริญรุ่งเรือง ชีวิตมีปัญหา มีหนี้สิน ทุกครั้งที่ผมไปไหว้พระ ผมไม่เคยขออะไรเลยนะครับ นอกจากขอให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เกิดภพใดภูมิใดก็ขอให้มีคนรัก หน้าตาดี ผิวพรรณดี พ่อแม่ดี มีครูบาอาจารย์ที่ดี คือผมตั้งใจรวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยมาเพื่อขอจริงๆ ผมเคยพาเพื่อนที่เป็นเกาหลี ญี่ปุ่น ฝรั่งไปไหว้พระ ผมเคยบอกกับพวกเขาว่า หากพวกเราตั้งใจที่จะมาขอ ความเป็นพุทธบุตร อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ที่พระพุทธเจ้าให้ช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด ที่อยู่ในตัวของเราก็คงไม่มีความหมายอะไร เพราะคำว่าพุทธ คำนี้ หมายความว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่สิ่งที่เรากำลังขอ เราเหมือนยังไม่รู้ ยังไม่ตื่น ยังไม่เบิกบาน หากเราขอมากๆ โดยไม่มีสติ เราก็ไม่ต่างอะไรกับ คนที่เขาถือขันหรือเดินตามเรา มหาราชา มหารานี เพราะคนเหล่านี้นั่งเฝ้า นอนเฝ้าสังเวชนียสถาน แต่เขาไม่รู้คุณค่าที่แท้จริงว่า เจดีย์ หรือพุทธสถานที่อยู่ด้านหน้าของพวกเขานั้น มีคุณค่าอย่างไร ทำไมพวกเราต้องมากราบไหว้อิฐหินปูนทราย อิฐหินปูนทรายทุกก้อนคือใบประกาศคุณงามความดีของพระพุทธองค์และมวลเหล่าพระอรหันตสาวก หากจะมองอีกแง่หนึ่งสังเวชนียสถานคือบันไดให้เราได้มาศึกษาพระพุทธศาสนา และหลักของสัจธรรมที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป จงอย่าประมาทในชีวิตรีบทำคุณงามความดี เพราะชีวิตนี้มันสั้นนัก พอพูดจบ เพื่อนๆ ก็ให้ผมเป็นคนกล่าวนำอธิษฐานนำพาให้พวกเราขอพร ให้มีหน้าตาดี รูปร่างดี เน้นตาดีเอาไว้ก่อน ผิวพรรณดี มีสติปัญญาดี มีพ่อแม่ดี มีครูบาอาจารย์ดี เกิดภพภูมิที่ดีๆ ใช้เวลาอธิษฐานประมาณ 3 นาที พอจบแล้ว พวกเราทั้งพี่ไทย ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี ก็ร่วมอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล่นนะครับ ขอบอก ปุพเพกตบุญญะตา การมีบุญที่ได้สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน ดังนั้นชีวิตนี้จะขอก็รีบขอ อย่ารอให้ถึงปีหน้า ข้าวของถึงแม้จะขึ้นราคา แต่บุญกุศลต้องรีบทำเหมือนเดิม
มาเพราะจำยอม ไม่รู้ว่าจะแสดงความดีใจหรือเสียใจกับคนเหล่านี้ดี จริงๆ ผมกล้าพูดได้เลยว่า อินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่คนไทยไม่อยากจะมา ไม่อยากจะมาเพราะเรื่องใดนั้นคิดว่าทุกท่านคงทราบเป็นอย่างดี คณาจารย์บางมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย  มหาวิทยาลัยทางอินเดียเชิญมาร่วมสัมมนาทางวิชาการ ยังไม่มีใครคิดอยากจะมาเลย แม้แต่จดหมายสักฉบับ ยังไม่คิดจะตอบด้วยซ้ำว่าจะมาหรือไม่มา บางคนมาเพราะหน่วยงานหรือองค์กรให้มา ก็เลยต้องมา บางคนหน้าที่การงานบังคับให้ต้องมา คืออินเดียไม่มีแม่เหล็กดึงดูใจให้มา แต่ผมเคยสอบถามฝรั่งหลายคนนะครับ เขาบอกว่า อินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่น่าทึ่งมาก น่าทึ่งตรงไหน น่าทึ่งตรงที่อะไรๆที่อินเดียมี แต่ประเทศเขาไม่มี ดึงดูใจให้มากุณค่าของคุณไม่เหมือนกัน
มาด้วยศรัทธา ยิ่งได้มาแล้ว เกิดการประทับใจ ได้เห็นก็เป็นบุญตา ได้ยินก็เป็นบุญหู ได้สวดมนต์ก็ได้เป็นบุญใจ เอาศรัทธาสัมผัสถึงคุณงามความดีของพระพุทธองค์ ที่แผ่กระจายออกไปยังสารทิศ ผมคนหนึ่ง ที่มีความเชื่อว่าศรัทธาที่ประกอบไปด้วยปัญญาอยู่ไหน พระพุทธเจ้าก็จะอยู่ที่นั้นกับเราเสมอ
เสียเหมือนกัน แต่ได้ไม่เท่ากัน
ผมเชื่ออย่างหนึ่ง คนที่มาไหว้พระที่อินเดีย ไม่มีใครที่ไม่เสียอะไรเลย อย่างน้อยๆ ก็เสียเงินเสียทอง เสียเวลา เสียหน้าที่การงาน เสียเวลาที่จะต้องไปทำโน้นทำนี่ แต่สิ่งที่ควรจะได้ ได้ไม่เท่ากันหรอกครับ บางคนได้ปัญญากลับไป บางคนก็ได้ปัญหากลับมา บางคนได้ทั้งปัญญา สติและศรัทธาและเพื่อนใหม่กลับมา มันจะมีอะไรน่าเศร้าไปมากกว่านี้ เสียเหมือนกัน แต่กลับได้ไม่เท่ากัน
ฟังเหมือนกัน แต่การฟังต่างกัน
            สิ่งที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากการไปเที่ยวยังประเทศอื่นๆ กับการมาไหว้พระที่อินเดียนั่นก็คือการนิมนต์ให้พระคุณเจ้าที่ท่านมีความรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแขกเป็นอย่างดี เป็นผู้นำพา ในการบรรยายเรื่องราวพุทธประวัติและความสำคัญของพุทธสถานตลอดจนเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยตามสองข้างทาง ผู้มาจาริกแสวงบุญบางรถบัสก็น่ารักดี พอพระท่านจับไมค์ทุกคนก็เริ่มหาว พอพระท่านเทศน์ปาวๆ ทุกคนก็เริ่มง่วง ยิ่งพระท่านพูดไป เจ็บแปล๊บแน่นในทรวง พอพระอาจารย์เริ่มง่วง ทุกคนก็หลับ สะดุ้งตื่นมาอีกที ถึงที่หมายแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าท่านพูดอะไรไปบ้าง แม่น้ำที่ผ่านมา มันชื่ออะไร แล้วเมืองที่เราจะไป ชื่อเมืองอะไร มีความสำคัญอย่างไร ผมเคยวิเคราะห์ลักษณะการฟังมีอยู่ 3 อย่าง ฟังเอาเรื่อง ฟังให้รู้เรื่อง และอย่างที่สาม ฟังอย่างไรก็ฟังไม่รู้เรื่อง หากมองแบบนักปรัชญา มองจากก้นบึ้งของความจริง หูของคนเรามันจะงดงามได้ หาใช่เพราะใส่ตุ้มหู แต่จะงดงามได้ ด้วยการฟังเยอะๆ แล้วพิจารณาด้วยเหตุและผลว่า มันจริงหรือเปล่า บางคนฟัง แล้วก็ฟัง แต่บางคนฟังแล้วก็จด คำพูดไหนดี กินใจ ฟังคราวใดน้ำหูน้ำตาจะไหล จดใส่สมุดโน๊ตเอาไว้ ทำการฟังให้เป็นรูปธรรม ดีกว่าปล่อยให้หายไปกลับความทรงจำ มีบ่อยครั้งที่ผมนั่งรถไปพร้อมกับคณะทัวร์ และมีสมุดเล็กๆเอาไว้ เวลาคิดอะไรได้ ต้องรีบจด บางครั้งคนเราหากให้เวลากับตัวเองมากๆ จิตใจมันสงบแล้ว มันคิดอะไรได้มากมาย จนบางครั้งแทบไม่น่าเชื่อว่า คนอย่างเราก็มีความคิดดีๆเช่นกัน

ดูเหมือนกัน แต่ดูต่างกัน
ผู้อ่านรู้ไหมครับ? ว่าอะไรคือความทรมานที่สุดของการมาไหว้พระในอินเดีย ก็คือนั่งรถนาน ก้นก็ทำงานหนัก หูก็ทำงานหนัก ต้องฟังผู้บรรยาย ถึงไม่อยากฟัง ก็ต้องฟัง ไม่มีใครมาบังคับหรอก แต่ต้องฟัง สมองก็ต้องมาเครียดหนัก กับสภาพจราจร หลายคนที่ไม่เคยมาอินเดียและในชีวิตนี้ก็ไม่เคยคิดที่จะมา ผมจะเล่าให้ฟังว่า การเดินทางในอินเดีย มันช่างเป็นอะไรที่ประทับใจสุดๆ กับระยะทาง บางครั้งใช้เวลาเป็นครึ่งวัน ระยะทางแค่ 200 กว่ากิโล แต่ผมเชื่อว่าในอนาคตถนนหนทาง ในการมาไหว้พระจะดีขึ้นตามลำดับ ตามลำดับและก็ตามลำดับ สำหรับท่านใดที่ยังไม่เคยมา อาจจะนึกภาพไม่ออก ถนนบางสาย ก็น้องๆผิวโลกพระจันทร์หนะครับ นั่งรถผ่านทีหัวโยกกันทั้งคัน กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ตับไตไส้พุงเคลื่อนทีกันหมด ไม่มีอวัยวะส่วนใดที่จะไม่ทำงาน เครียดทุกส่วนของอวัยวะ นั่งรถแล้วมองตามสองข้างทาง บางทีผมว่า มันดียิ่งกว่าอ่านหนังสือเป็นสิบเล่มเสียอีก เพราะสองข้างทางนั่นแหละคือครูอย่างดีเลิศ สองข้างทางมีอะไรให้ได้ดูเยอะแยะเต็มไปหมด บางครั้งมีกระทั้งคนนั่งถ่าย ยืนเยี่ยว นั่งเยี่ยว และนอนเยี่ยว แต่นอนเยี่ยวผมยังไม่เคยเห็น ขอทาน เห็นวิถีชีวิตของแขก ตามสองข้างทาง ที่ดูครั้งใดก็แล้วเครียดแทนทุกครั้ง แขกมันทำบ้าอะไรของมันวะ บางคนนั่งในรถ ดูก็สักแต่ว่าดูตามข้างทาง ดูไปด้วยก็ตกใจไปด้วย ว่าทำไมบ้านเมืองเขา ทำไมถึงวุ่นวายขนาดนี้ แต่จะมีสักกี่คน ที่ดูด้วยตาเนื้อ แต่เอาตาในคิดวิเคราะห์ภาพที่เราเห็นตามสองข้างทาง บางคนมีความทุกข์มาก แต่พอได้มาเห็นวิถีชีวิตของแขกตามสองข้างทาง บางคนมีกำลังใจต่อสู้กับชีวิตอีกเยอะ ผมขอยืนยันว่า คนที่มาไหว้พระที่อินเดียได้ ไม่มีใครจนสักคน แต่เขาเหล่านั้นหารู้ไม่ว่า บนโลกใบนี้ ยังมีคนที่ยากจนกว่าอีกหลายร้อยล้านคน แต่เขาอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุข บนพื้นฐาน ของสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันด้วย ไฟฟ้าก็ไม่มีใช้ บ้านก็ยังไม่มีเป็นของตัวเอง ต้องอาศัยตามข้างทาง แต่เขามีความสุขในรูปแบบของเขา นี้ไงครับคุณครูของเรา บางคนพอขึ้นรถ เอาMP3 MP4 เสียบหู ทำท่านอนหลับ รอให้ถึงจุดปลายปลายทางอย่างเดียว ประโยชน์ที่จะได้จากการนั่งรถ ก็ไม่ได้อะไรเลย มันน่าเศร้าไหมละครับ วันนี้ผมรู้สึกพูดดีเป็นพิเศษเลยนะเนี่ย อิอิ
ซื้อเหมือนกัน แต่ได้ราคาต่างกัน
หากไม่มีใครคิดว่าผมก้าวล่วงอำนาจอธิปไตยกระเป๋าเงินของเขามากเกินไป ผมอยากจะเขียนข้อความเหล่านี้แปะเอาไว้ให้คนไทยได้อ่านจริงๆ ซื้อก่อนมักจะเป็นคนมีทรัพย์ ซื้อทีหลังมักจะเป็นคนมีปัญญา ไม่ซื้ออะไรเลย รอของฝากจากเจ้าของทัวร์อย่างเดียว จะเป็นคนมีทั้งทรัพย์และปัญญา แต่หากเจ้าของทัวร์ไม่ให้อะไรเลย ทัวร์นั่นแหละจะมีปัญหาตามมา ผมไม่ได้เสี้ยมนะ แต่คิดว่าน่าจะมีปัญหาจริงๆ และขอความกรุณาอย่าเอาเปรียบสตรีมีครรภ์ เด็ก คนพิการและคนชรา เกี่ยวกันไหมเนี่ย
เคยมีป้าท่านหนึ่ง ซึ่งผมเคยให้ความรักมากและเคารพเหมือนป้าในไส้แท้ๆ ปัจจุบันนี้ก็ยังรักและเคารพ เคยบอกผมเอาไว้ว่า มันเป็นเรื่องแปลกคือไปยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น ส่วนมากจะแข่งกันว่า ใครซื้อของได้ราคาแพงกว่ากัน แต่พอมาอินเดียจะอวดกันว่า ใครซื้อของได้ถูกกว่ากัน หรือมันเป็นเสน่ห์ของอินเดียก็ไม่รู้ ไปทัวร์ยุโรปบ่อยมาก แต่ไม่ประทับใจเหมือนมาอินเดีย แกมาอินเดีย เกือบ 32 ครั้งแล้ว มาทุกปี มากี่ครั้งกี่ครั้ง บรรยากาศในการเดินทาง ก็ไม่เหมือนกันสักกะครั้ง ผมก็เลยพูดปลอบป้าแกว่า อันที่จริงสิ่งใดที่ผู้คนอยากได้มาก สิ่งนั้นมักจะมีราคาแพงมากตามราคะ เพราะราคามันมาจากคำว่า ราคะนั่นเอง มีสังเวชนียสถานบางแห่ง ที่ผู้แสวงบุญมักจะได้ราคาแพงมาก เพราะอำนาจแห่งความอยากได้(มาก) ผมขอยกตัวอย่างบางสังเวชนียสถาน ที่ผมเห็นบ่อยๆ เช่นที่สารนาถ มักจะมีพวกเด็กแขกเปรตทั้งหลาย มันชอบเอาพระที่ทำเหมือนของเก่า ทำลับๆล่อๆ เหมือนกับว่ามันเพิ่งขุดมาได้เมื่อตะกี้ที่ร้านของมัน แกล้งให้พวกเราดู บอกราคา 300-400 รูปี บางคนที่เพิ่งเคยมา เชื่อจริงๆนะ แต่ราคาจริงๆ องค์ละ 4-5 รูปีเท่านั้นเอง แสบและแน่นในทรวงอกไหมหล่ะครับ Post card ไม่ว่าที่แห่งไหน ที่มหาวิทยาลัยนาลันทาหรือสารนาถ ปกติเล่มละ 20-25 รูปีหรือบางครั้งต่อได้อีก แต่บางคนซื้อได้ในราคา 2 เล่มละ 100 บาท ผมไม่เคยเถียงคนค้าขายก็ต้องคิดกำไรกันบ้าง แต่นี่มัน จะให้เรียกว่าอย่างไรดี โคตรค้ากำไรเกินควรแล้ว
เทคนิคของการซื้อของจากแขก สิ่งไหนที่เราอยากได้มาก ให้ทำเหมือนไม่อยากได้ ใจจริงอยากได้ใจแทบขาด แกล้งต่อทิ้งต่อขว้าง แล้วทำท่าเดินหนีหรือเดินหนีจริงๆ สักพักค่อยมาซื้อใหม่ จากราคาที่แพงมาก อาจจะได้ในราคาที่แทบไม่เชื่อในราคาป้าย ที่เจ้าของร้ายเขียนราคาเองกับมือแท้ๆ หากแกล้งเดินไปแล้ว แขกก็ยังไม่ทำท่าว่าจะลดให้ ค่อยมาซื้อใหม่ก็ได้ อย่าคิดว่าเป็นการเสียหน้า หากมองอีกด้านหนึ่ง คนอินเดียเขากำลังสอนเราว่า น้ำขุ่นเอาไว้ใน น้ำใสเอาไว้ด้านนอก อย่าแสดงออกให้มาก หากไม่อย่างนั้นเจ้าของร้านเขาจะหมั่นไส้ ทั้งโกงและโก่งราคาเอา และมีอีกวิธีหนึ่งคือซื้อใกล้เวลารถบัสจะออกบางทีได้ราคาครึ่งต่อครึ่ง จริงๆนะ หากไม่เชื่อลองไปถามใครก็ได้ที่เคยซื้อได้มาก่อนดูสิ
                และสิ่งหนึ่งที่คนที่มาไหว้พระยังขาดกันมาก นั่นก็คือ อุเบกขา บางคนมาอินเดีย แบกความเมตตา กรุณา มุทิตา มาเต็มเครื่องบิน แต่พอมาถึงอินเดียแล้ว ลืมเอาอุเบกขามาด้วย สงสัยจะลืมทิ้งเอาไว้ที่สุวรรณภูมิ คนไทยเป็นจำนวนมาก เลยตกอยู่ในภาวะ เศรษฐีจำเป็น หากเป็นภาษาบ้านผมเขาเรียก พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง และเป็นกลุ่มเป้าหมายแรก ที่แขกเขาอยากจะขอ รักอย่างมาก รักเธอมากมาย รักคนไทย รักเพราะผลประโยชน์ล้วนๆ อะไรจะดราม่าได้ขนาดนี้ ในชีวิตผมไม่เคยซ้ำเติมใคร ถ้าไม่จำเป็น
                คนไทยส่วนมากที่มาอินเดีย จะมาด้วยเหตุ 3 ประเด็น ประเด็นแรกมาเพราะบารมีของพระพุทธเจ้ากันเป็นส่วนมาก คนไทยบางส่วน กว่าจะชักชวนหรือง้างออกมาจากบ้านมาไหว้พระได้ ต้องเอาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เจ้า เอาบุญเป็นแรงจูงใจ บางคนคิดแล้วคิดอีก กลัวลำบาก! ก่อนมาก็เป็นโรค ห่วง ห่วงบ้าน ห่วงหน้าที่การงาน ไม่ได้พูดเล่นนะ ในชีวิตไม่เคยพูดเล่นกับใคร บางคนห่วงแม้กระทั่งหมา พอหมดห่วงแล้ว ก็เป็นโรคหา หาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมายที่จะทำให้ตัวเองไม่ลำบากหรือลำบากน้อยที่สุด อาหาร เครื่องสำอาง ยกกันมาเป็นชุดเลยกะจะมาปักหลักอยู่เป็นเดือนก็มี ประเด็นที่สองคือมาเรียนครับ ส่วนประเด็นสุดท้ายคือมาเที่ยว
            ก่อนจะจากไปพร้อมกับสังเวชนียสถาน ผมมีความในใจอีกอย่างหนึ่งที่อยากจะบอกกล่าวจริงๆ ไม่ว่าจะไปสังเวชนียสถานตำบลใดทั้ง 4 แห่ง คือสถานที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักรฯ และปรินิพพาน ผมบอกกับตนเองทุกครั้งว่า ที่ผมโดดเรียนมาไหว้พระในครั้งนี้ ขออำนาจบุญกุศลที่ผมมีโอกาสมากราบไหว้บุญสถานในครั้งนี้ ขอให้ผมมีสติปัญญาดีมากๆ เกิดภพใดชาติใดก็ขอให้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา แต่มีอยู่ที่หนึ่งที่ผมไปทุกครั้งและเศร้าใจทุกครั้ง นั่นก็คือที่ภูเขาคิชฌกูฎ ภูเขาคิชฌกูฎอินเดียกับที่จันทบุรี แตกต่างกันมาก ภูเขาคิชฌกูฎเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าท่านชอบมาประทับ เนื่องจากเป็นที่เงียบสงบ เหมาะการแก่การปฎิบัติธรรม  แต่ปัจจุบัน จะมีแขกคนหนึ่งและเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแล แขกคนนี้ก็จะเอาเงินแบงค์ 500 รูปี 1,000 บาท 100 ดอลล่าร์ มาวางไว้ เพื่อขุดบ่อล่อปลาซิวทั้งหลาย และก็บอกให้คนไทยทำบุญๆ ตู้รับบริจาคก็ไม่มี รัฐบาลก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ บางครั้งก็มีการบังคับให้ทำบุญ บางคณะที่เพิ่งเคยมาใหม่ ก็หลงเชื่อ ทำบุญทอดผ้าป่าได้เงินเป็นหมื่น บางคณะไกด์ช่วยประชาสัมพันธ์ให้อีก รวบรวมเงินเอาวางไว้ บางคณะพระอาจารย์ที่ท่านนำพา ท่านก็ประกาศห้ามตั้งแต่บนรถจนกระทั่งเดินขึ้นเขา แต่ผมก็แปลกใจมาก บางคนไม่เชื่อ พอลับตา แขกที่มักจะเป็นหน้าม้าให้คนทำบุญ ก็เอาเงินแบ่งกับตำรวจ บางวันได้หลายหมื่นรูปี หลายพันบาท หากวันไหนโชคดีหน่อย มีคณะทัวร์ที่ช่วยกันทอดผ้าป่าถวายตรงกุฎิพระพุทธเจ้า ก็ได้หลายหมื่น มีไกด์อินเดียหลายคนมาก บอกกับผมว่า เขารู้สึกเจ็บปวดแทนคนไทยมาก ไม่รู้ทำไม ทั้งๆที่ก็เงินเรา มันได้ประโยชน์ตรงไหน ทำไมและทำไม พวกเราไม่เอาเงินเหล่านี้ไปบริจาคให้กับวัด วัดจะได้นำเงินเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ได้อีกมาก ช่วยเหลือคนยากจน ผมก็เคยคิดว่า ก็นั่นสิ เขียนไปเขียนมา วกมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องชาวบ้านจนได้ เงินก็เงินของเขา ศรัทธาก็เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล จะไปเสือกยุ่งเรื่องของเขาทำไม แต่มันอดไม่ได้จริงๆ
พระพุทธศาสนา หมายถึงคำสอนของคนมีปัญญา ผมเชื่อว่าชาวพุทธเป็นจำนวนมาก ไม่ทราบความหมายนี้ ผมมีโอกาสมากราบไหว้พุทธสถานบ่อยมาก ผมเห็นบางสิ่งที่ควรนำมาเล่าให้ฟัง เชื่อผมเถอะว่า เรื่องที่ผมยังไม่ได้เล่าหรือเล่าไม่ได้ยังมีอีกมาก ทุกครั้งที่มีโอกาสไปกราบไหว้พุทธสถานหรือสังเวชนียสถาน ผมรู้สึกดีใจที่ได้มากราบที่ที่คนมีปัญญามาก คนดีที่สุดที่โลกเคยมีมา ซึ่งเคยประทับอยู่  ถึงแม้จะต้องมาเจอภาพบรรยากาศเดิม เจ้าหน้าที่หน้าเดิมๆ ที่คอยขอแต่สตางค์ แต่ผมก็อยากมา เพราะผมมาตามหาปัญญาที่ซ่อนเอาไว้ในซากโบราณเหล่านี้


กาลครั้งหนึ่งสองสาม ณ โรงพยาบาลแขก

กาลครั้งหนึ่งสองสาม ณ โรงพยาบาลแขก
    

ผมกำลังรวบรวมความทรงจำทั้งหมดที่เคยผ่านประสบการณ์เกี่ยวกับการเข้าโรงพยาบาลแขกมาถ่ายทอดเล่าให้ฟัง อันที่จริงความเจ็บไข้ได้ป่วย มันเป็นสมบัติคู่มนุษย์มานมนาน พูดกันแบบตรงๆไม่มีมนุษย์หน้าไหน ที่ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้าใครไม่ป่วยได้ ยิ่งเป็นการดี แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ใครเล่าหนอจะหลีกหนีได้ ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสมาโรงพยาบาลแขก ผมมักจะพูดกับตัวเองเสมอว่า ชาตินี้ตูจะไม่ขอมาโรงพยาบาลที่นี้อีก แต่ส่วนมากก็ได้มาเกือบทุกปี มาเพราะตัวเองป่วยบ้าง มาส่งคนอื่นบ้าง เมื่อปี 2546 ก่อนที่ผมจะได้มาเป็นนักศึกษา กฎข้อหนึ่งของมหาวิทยาลัยคือนักศึกษาต่างชาติทุกคนไม่ว่าหน้าตาจะดีหรือขี้เหร่ต้องตรวจเลือด HIV ก่อน ไม่ว่าคุณจะไปตรวจเลือดที่ไหนมาก็ตาม เขาไม่ยอมรับ นอกจากสถาบันคุณวุฒิที่เขาไว้ใจได้เท่านั้น นั่นก็คือ สถาบันตรวจเลือดของเขาเอง ก่อนที่จะได้เป็นนักศึกษาอย่างภาคภูมิใจ(มาก) ห้องตรวจเลือดที่นี้ ผมมาคราวใด ผมต้องสยองขนลุกทุกครั้งไป คือผมเป็นคนกลัวเข็มและเลือดมาก เห็นเลือดและเข็มคราวใด มักจะหลับตา ทำหน้าตาราวกับคนเสียวฟัน สิ่งที่ทำให้ความกลัวทวีรุนแรงมากขึ้นก็คือบรรยากาศภายในห้อง  สภาพห้อง หน้าตาคนที่จะเอาเข็มมาแทงและดูดเลือดเราออกไป พี่แกหน้าตาเคร่งเครียดมาก นี่คือองค์ประกอบของความวังเวงภายในห้อง
                วันแรกที่ผมไปโรงตรวจเลือด ด้วยความที่เกิดมาเป็นลูกอีตาช่างสังเกต มองดูไปรอบๆ ตกลงนี้มันห้องเก็บของหรือว่าห้องตรวจเลือดกำเดาวะเนี่ย ผมสังเกตดูตั้งแต่บันไดก้าวแรก ตามฝาผนังห้อง ตามหัวมุมบันได เลือดไหลเป็นทาง แต่ดูไปดูมา เอ้ย! นี่มัน น้ำหมากนี่หว่า ไม่น่าเชื่อตามบันไดโรงพยาบาลมีรอยน้ำหมากด้วย ผมรู้สึกเคืองถึงแขกที่มันชอบถมน้ำหมาก ไม่เป็นที่เป็นทาง มรึงทำไปได้ นี่โรงพยาบาลนะโว๊ย มรึงไม่ให้เกรียติหมอหรือพยาบาล ก็ให้คนเกียรติคนป่วย คนแก่ คนชรา คนกำพร้าบ้าง แม้ในที่สาธารณะมันยังกล้ามาถมน้ำหมากขากน้ำลาย นิสัยผมเดินตามรอยน้ำหมากมาได้สักพัก ก็ได้มาถึงห้องแห่งหนึ่ง ด้านหน้ามีรายชื่อรายละเอียดของห้องเป็นภาษาอังกฤษ ผมก็โผล่หน้าเข้าไป เพื่อยิ้มทักทาย แต่กลับพบว่าไม่มีแขก ยิ้มตอบรับสักกะคน เพราะไม่มีใครอยู่ในห้องเลย ไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ผมกล้านั่งยันได้เลยว่า นี่มันห้องเก็บของชัดๆ สักพักหนึ่ง ผมคิดว่าน่าจะเป็นพนักงานเดินมา คิดว่าไม่น่าใช่หมอ เหตุที่ผมรู้เพราะว่ามีคนทักว่า ผมมีองค์ วันนี้องค์น่าจะลงเพราะมีความรู้สึกแม่นมาก มันมาถามผมว่า ยูมาทำอะไรที่ห้องเก็บของ โน้นห้องตรวจเลือดไปอีกห้องหนึ่ง อ้าวเหรอ!
พอไปถึงห้องดูดเลือดเขาก็ให้ผมกรอกแบบฟอร์มเอกสาร ภาษาที่ใช้ในเอกสารมีทั้งฮินดีและภาษาอังกฤษ และเอกสารของคนอินเดียที่คงเป็นเอกลักษณ์ของเขาอย่างหนึ่ง เขามักจะระบุชื่อพ่อของเราด้วย เล่นถึงพ่อเลย เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เพราะประชากรเขามีเยอะมาก บางครั้งก็อาจจะมีชื่อนามสกุลคล้ายๆกัน ก็ต้องมีการระบุชื่อพ่อด้วย ผมอุตส่าห์ปกปิดมานานว่าพ่อผมคือใคร สุดท้ายวันนี้ก็คงไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ต้องกรอกชื่อพ่อด้วยลงในเอกสารด้วยความจำใจ ผมก็เห็นว่ามันแปลกดีเลยเล่าสู่กันฟัง พอกรอกเอกสารเสร็จ พนักงานคนนั้นก็บอกให้ผมไปซื้อเข็มฉีดยาและอุปกรณ์ในการตรวจเลือด ที่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย เพราะมีร้านขายยาเต็มไปหมด โอ๊วววแม่เจ้า! อากาศร้อนก็ร้อน ยังเสือกให้ตูเดินไปซื้อมาอีก ผมตกใจในระบบของที่นี้มาก ตอนแรกคิดว่ามีอุปกรณ์ให้ หรืออย่างน้อยๆก็มีห้องคล้ายๆร้านค้าสหกรณ์ อยากได้อะไร อยากซื้ออะไร ก็ให้ไปซื้อเอามา อะไรทำนองนี้ นี่ประมาณว่าตรวจเลือดอีกที่หนึ่ง แล้วให้ไปซื้ออุปกรณ์ตรวจเลือดอีกที่หนึ่ง แล้วที่จะไปซื้อ มันก็ไม่ใช่ใกล้ๆ เกือบ 1 กิโล ผมต้องหอบสังขารไปหน้ามหาวิทยาลัย เพื่อไปซื้ออุปกรณ์ตรวจเลือด จากโรงงานตรวจเลือดเดินไปหน้ามหาวิทยาลัย ประมาณ 1 กิโล ใช้เวลาในการเดินประมาณ 2 ชั่วโมง บางคนใช้เวลาในการเดินไปกลับแค่ 30 นาทีเท่านั้นเอง ผมใช้เวลาในการเดินไปกลับ ประมาณ 2 ชั่วโมงกับอีก 15 นาที เพราะต้องแวะกินข้าวด้วย กว่าจะมาถึงห้องตรวจเลือด  พนักงานหายไปกันหมด เวรกรรม มาตรงเวลาแขกหยุดพักเที่ยงพอดี เวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสอง ส่วนมากเขาจะพักทานอาหารเที่ยง ผมก็ยืนรอ นั่งรอ เดินรอ กะว่าจะนอนรอตรงม้านั่งด้านนอก กลัวเสียภาพพจน์ เสียยี่ห้อไทยแลนด์หมด ผมก็เลยไปนั่งหลับที่โซฟาในห้อง สะดุ้งตื่นขึ้นมา พนักงานบอกว่า ให้มาใหม่พรุ่งนี้ ผมมองไปดูเวลา มันเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงที่เขาจะหยุดทำงาน ผมก็บอกว่า มันยังมีเวลา แต่เขาก็บอกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ พอได้ยินคำว่า ให้มาใหม่พรุ่งนี้ ปรอทโทสะมันวิ่งผ่านอวัยวะน้อยใหญ่มารวมกันที่ปลายเท้า ผมบอกตามตรง ผมเกลียดมากไอ้คำๆนี้ คือ Tomorrow come again แขกเขามักพูดในยามที่ปัดภาระหรืองานที่เขารับผิดชอบ เหมือนทำงานขอไปที ผมบอกว่าคุณลงทุนเสียสละเวลาแค่ไม่ถึง 5 นาที มันก็เสร็จแล้ว กูรีบจริงๆนะครับ กว่าจะตีหน้าเศร้าเล่าความจริงให้แขกฟัง ผมเพิ่งมาอยู่อินเดียได้ไม่นาน ใครจะไปรู้ว่า อีนี่กินข้าวกี่โมง หยุดทำงานกี่โมง แขกเขาฟังเรานะ แต่เขาไม่ทำตาม เขาก็บอกให้ผมมาใหม่พรุ่งนี้ 11.00 โมงเช้า ยังมีหน้ามาขอบคุณผมอีกนะ Thank you very much มันขอบคุณเรื่องอะไร ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ได้แต่ยิ้มและตอบในใจ เออ..มาย เวรกรรม ผมอยากจะทำประชดมันจริงๆ คือมาตั้งแต่ประตูยังไม่เปิด ดูสิมันจะว่าไง นี้เป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศภายในโรงพยาบาลของแขก ไม่มาก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเงื่อนไขของมหาวิทยาลัย และที่ปวดหัวและปวดตับมากที่สุด บางคณะก็เอาผลตรวจเลือด HIV บางคณะก็ไม่เอา คือมันไม่มีมาตรฐานอะไรมาวัดสักอย่าง บางปีก็เอา บางปีก็ไม่เอา ไม่มีใครตรัสรู้อะไรได้เลย มหาวิทยาลัยเปลี่ยนกฎทุกปี กัมมุนา วัตติ โลโก ชีวิตนักศึกษาขึ้นอยู่กับกฎมหาวิทยาลัยจริงๆ
คราวหนึ่ง ผมชอบนอนบนโชฟา และโซฟามันก็สั้นกว่า เวลานอนผมก็มักจะนอนคดตัว ก็เลยเป็นเหตุให้คืนหนึ่ง ขณะนอนหลับ ผมรู้สึกปวดหลังมาก นอนร้องไห้จนน้ำตาไหลขึ้นหน้าผาก เพราะนอนเอาหัวลง เห็นความทุกข์ที่เกิดจากสังขารตัวเอง ผมยืนตัวตรงไม่ได้ ต้องเดินก้มตัว มองไปที่นาฬิกาแขวนตรงฝาผนัง เวลาเกือบตีสอง ทำอะไรก็ไม่ได้ครั้นจะไปเรียกเพื่อนให้ไปส่งโรงพยาบาล ก็เห็นว่ายังดึกมาก และคิดว่าอาจจะเป็นช่วงที่เพื่อนๆกำลังพักผ่อน สมบัติผู้ดีวิ่งพล่านเข้ามาในความรู้สึก ไม่อยากรบกวนใครๆให้ลำบาก แต่ด้วยความที่ทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหว จึงคลานออกจากห้องตัวเอง เพื่อไปเรียกเพื่อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 200 เมตร เพื่อนเห็นสภาพผม ตกใจมาก รีบปั่นจักรยาน พาไปส่งโรงพยาบาล พอไปถึงด้านในโรงพยาบาล ผมถึงกับตกใจกับภาพที่เห็น เห็นคนยืนต่อแถวรอกันยาวเหยียดประมาณเกือบ 300 คน บางคนยืนรอ บางคนนั่งรอ บางคนถึงแม้ตัวเองจะไม่อยู่ แต่ก็ถอดรองเท้าทิ้งเอาไว้ เพื่อเป็นนัยยะให้คนอื่นรู้ว่า ที่นี้กูจองนะโว้ย พูดไปก็หาว่าโม้เหมือนมีปาฏิหาริย์นิดๆ อาการปวดหลังของผมรู้สึกดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด พูดกับเพื่อนว่า แล้วคิวของเราจะเป็นคนที่เท่าไหร่วะเนี่ย ภาพค่ำคืนนั้นก็ยังคงเป็นภาพที่ยังคงประทับไว้ในความทรงจำของผมเสมอ ตูไม่น่ามาเลย นึกๆไปก็สงสารแขกเหล่านั้นเหมือนกัน หากใครคนใดคนหนึ่งในนั้นเป็นญาติเรา ตูจะดีใจหรือเสียใจ ที่คนเจ็บป่วย ต้องมายืนต่อแถว เกือบตี 2 เรื่องที่ผมเล่าให้ฟัง อ่านแล้วก็อย่าเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังต่อนะครับ ถือว่าเป็นความลับ อย่านำเอาไปแพร่งพรายให้คนอื่นรู้เด็ดขาด
เมื่อเราพิจารณากันแล้วว่าเมื่อไปโรงพยาบาลโดยทั่วไป ISO 9000 ยังไม่ผ่าน นักศึกษาบางคนก็เปลี่ยนไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน คุณภาพพอๆกัน แตกต่างกันอย่างมากก็ตรงค่ารักษาเท่านั้นเอง ค่าห้อง ค่าโทรศัพท์ ค่าห้องครัว ค่าตู้เย็น ค่าหมอมาเช็คดูอาการ ค่ายา เข้าโรงพยาบาล 2 อาทิตย์ (14 วัน) หมดค่าไปนอนโรงพยาบาล 6 หมื่นกว่ารูปี เพียงเพราะไปถอนฟัน 2 ซี่ ผมเคยมีโอกาสได้พูดคุยกับแขกที่เขามาใช้บริการทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน บางรายต้องเดินทางมาจากต่างรัฐ เพราะเขาคิดว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ดีที่สุด มันเป็นความหวังของคนที่มีทางเลือกไม่มากนัก ผมเคยคิดว่า หากผมเป็นเขาชีวิตผมจะเป็นอย่างไร ผมเคยมองไปรอบข้างตัวเอง ผมเห็นสภาพห้องนอน สภาพโรงพยาบาล ทำให้ผมปลงกับชีวิตไปได้เยอะมากๆ ผมบอกตามตรงว่า ที่เขาว่าดีที่สุดสำหรับเขา แต่สำหรับส่วนตัวผม อนามัยบ้านเราอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำไป แต่เพราะเขามีทางเลือกแค่นี้จริงๆ ผมเปรียบเทียบแขกเหล่านี้เหมือนสิ่งมีชีวิตในน้ำ คือเขารู้เฉพาะสิ่งที่เป็นไปภายในน้ำ แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าบนบกยังมีอะไรอีกมากมายนัก ที่สิ่งมีชีวิตในน้ำยังไม่รู้
                ในคราวล่าสุด ผมมีโอกาสได้พาน้องที่รู้จักกันเข้าโรงพยาบาล เป็นกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน ต้องให้รถ Emergency มารับ เป็นรถตู้ยี่ห้อซูซิกิ คันเล็กๆ พอไปถึงโรงพยาบาล รถเข็นก็ไม่มี พวกผมก็ต้องอุ้ม ผมยกที่แขน อีกสองคนก็ยกขาคนละข้าง ก้นคนป่วย จะลากดินอยู่แล้ว นี่หากน้ำหนักคนป่วยเกินร้อย คนยกเหนื่อยแน่นอน แขกคนอื่นๆ ก็ยืนดู ตำรวจก็ยืนดู ป้ายบอกทางก็ไม่ค่อยชัดเจน ไม่รู้ห้องไหน ไปทางไหน บางคนก็รีบมามุงดู  เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ยังมีกะจิตกะใจมามุงดูอีก เชื่อแขกเลย หากมือว่างจะตบบ้องหูโชว์สักหน่อย ไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือสังคมแม้แต่น้อย รู้ไหมว่าตูหนักมาก ผมบอกตามตรงว่า บรรยากาศภายในโรงพยาบาล ทำให้ผมสัมผัสถึงความกลัว กลัวการสูญเสียคนที่เรารัก พอไปถึงห้องคนป่วยฉุกเฉิน เห็นญาติคนป่วยนอนรออยู่ด้านหน้าห้องเกือบ 20 กว่าครอบครัว หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย คนป่วยบางคนก็นอนร้องครวญคราง พอเข้าไปในห้อง ซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ มีคนป่วยนอนเต็มไปหมด หมอก็เข้ามาถามว่า คนป่วยเป็นอะไร ผมก็บอกว่า เขาเป็นโรคคล้ายๆหืดหอบหรือภูมิแพ้อะไรสักอย่าง หายใจไม่สะดวก สถานการณ์ก็ยังไม่เครียดเท่ากับ บรรยากาศภายในห้อง โคตะระวังเวงเลย เสียงคนร้องไห้ เสียงคนครวญครางด้วยความเจ็บปวด หมอมาตรวจดูอาการคราวใด มาเจาะเอาแต่เลือด เจาะแล้วเจาะอีก กว่าจะได้รักษา หมดเลือดไปเป็นลิตรๆ ผมพูดประชดเฉยๆ อันที่จริงเลือดที่สูบไปก็คงไม่ถึงลิตรหรอก ไปติดต่อกับหมอกับพยาบาลก็ยาก พยาบาลหน้าก็บูด เฉพาะคืนที่ผมนอนเฝ้าคนป่วย เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง มีคนตายเกือบ 3-4 คน บางครั้งผมก็คิดนะ ว่าหมอที่นี้น่าจะเก่ง เพราะคนอินเดียเยอะมาก กรณีของโรคก็น่าจะมีมาก คือมันมีกรณีของโรคให้ศึกษาเยอะ แต่ผมบอกตามตรงว่าหากคนอินเดียเขามีทางเลือกที่ดีกว่านี้ ใครอยากจะมาใช้บริการโรงพยาบาลแบบนี้ ผมเริ่มเข้าใจสภาพของคำว่า คนเหมือนกันแต่คุณค่าของคนไม่เหมือนกัน เตียงข้างๆผู้หญิงก็โดนน้ำร้อนลวก คือโดนลวกทั้งตัว เหตุที่ผมไปสอบถาม ไม่ใช่ว่าเป็นคนสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านนะ แต่หากไม่ได้รู้ มันรู้สึกหงุดหงิด แค่อยากรู้เฉยๆ แม่ผัวต้มน้ำร้อนลวกลูกสะใภ้ เหตุเพราะจ่ายค่าสินสอดไม่ครบ จิตใจคน ทำด้วยอะไร คนสมัยนี้ อีกเตียงสาวอินเดียกินยากะจะฆ่าตัวตาย ส่วนอีกเตียงคงจะต้องเป็นนักโทษแน่ๆ เพราะขนาดนอนในโรงพยาบาลตำรวจมานอนคุมหลายนายเลย แต่ที่ผมแน่ใจก็คือตรงเท้าและมือมีการตรวนโซ่ด้วย เตียงผู้ป่วยก็ไม่ครบ บางคนก็ต้องนอนพื้น ให้ญาติที่มาเยี่ยม ยืนถือสายน้ำเกลือ แต่เมื่อได้มาอยู่สถานการณ์แบบนี้แล้ว ผมบอกตามตรง ต่อให้ฝันผุ ตูก็จะขอกลับไปถอนที่เมืองไทย โดยไม่ต้องรอให้หมอลักษณ์ฟันธง หมอกฤษคอนเฟริ์ม ว่าผุจริงหรือแค่ปวดฟันเฉยๆ และที่สำคัญผมเห็นหนูด้วยครับ It is a rat มันคือหนู (จริงๆนะ) ผมมาโรงพยาบาลในครั้งนี้ ผมปลงกับชีวิตได้เยอะมาก กลิ่นยาแตะจมูกเป็นพักๆ นี่หากไม่มีไม่มีใครอยู่เลย เหลือแต่ผมคนเดียวยืมโรงพยาบาลแห่งนี้ เช่าทำหนังผีได้อย่างสบายเลย บรรยากาศน่ากลัวมาก แม้กระทั่งทางไปห้องน้ำก็ยังดูน่ากลัว ผมอดสงสัยไม่ได้ใคร๊มันมาถมน้ำหมากในห้องน้ำ คืออย่างน้อยๆก็น่าจะยกเว้นห้องน้ำในโรงพยาบาลบ้าง แล้วก็มีใครไม่รู้ดันลืมถอดกางเกงในสีดำ size L ทิ้งเอาไว้ในห้องน้ำอีก เชื่อแล้วว่าที่นี้ เจ้าที่แรง....

ความจริงอีกด้าน ของคนเรียนภาษาอังกฤษในอินเดีย...



คนมักจะพูดเสมอว่า “มาเรียนอินเดียก็ได้ภาษาอังกฤษแบบแขก ไปเรียนทำไม?” ก่อนผมจะมาเรียน ไปลาใครต่อใคร เกือบร้อย 80% ไม่ค่อยมีใครเห็นดีเห็นงามด้วยสักคน บ้างก็บอกว่าอินเดียยากจน ขอทานเยอะ จบมาก็มาขายโรตีบ้างแล้วแต่คนจะพูด เพราะเหตุนี้ผมเลยต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง สิบปากว่าไม่เท่าคุณตาคุณยายเห็น แต่พอมาเรียนจริงๆ เออหว่ะ... คนเหล่านั้นพูดถูกครึ่งหนึ่ง อินเดียเป็นประเทศยากจนครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด อินเดียมีขอทาน แต่อาจจะเยอะมากไปหน่อยเท่านั้นเองครับ “อินเดียไม่ใช่ประเทศที่ดีที่สุด แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเรามาเรียนอะไร และเราได้อะไรและรู้อะไรจากที่เรียนมา และที่สำคัญนำเอาไปใช้ที่ประเทศของเราได้หรือเปล่า” เพื่อนฝรั่งที่เรียนด้วยกัน พูดให้ฟัง ถึงเหตุผลทำไมฝรั่งอย่างเขาถึงต้องมาเรียนที่อินเดีย มีคนไทยหลายๆคนอยากมาเรียนอินเดียเพราะอยากได้ภาษาอังกฤษ แต่พอมาอยู่จริงๆ การดำเนินชีวิตประจำวันไม่น่าจะเรียกว่า มาเรียนเอาภาษา การคลุกคลีอยู่เฉพาะกลุ่มคนไทย เป็นเรื่องที่คนไทยมักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ “เพราะคนไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” และเป็นเหตุผลหลักๆที่ทำให้คนไทยหลายๆคนมาอยู่หลายๆ ปีก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง ไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้ แต่ยังพูดไม่คล่อง 

บางมหาวิทยาลัยเรียนในห้องเป็นภาษาท้องถิ่นของรัฐนั้นๆ  แต่ถึงเวลาสอบเราต้องสอบเป็นภาษาอังกฤษ จะขำหรือฮาดี คนไทยไม่ค่อยมีนิสัยอยู่แยก มักจะอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ดังนั้นก่อนจะมาเรียนควรทำการบ้านหรือสอบถามรายละเอียดให้ดี ว่ามหาวิทยาลัยที่เราจะมาเรียนในสาขาวิชานั้นๆ มีชาวต่างชาติไหม คืออย่างน้อยๆก็พอจะเป็นแรงกระตุ้นให้เราเรียนภาษาอังกฤษได้พัฒนาขึ้นมาได้ บ้าง หรือไม่ก็พยายามคบเพื่อนแขกที่เขาพูดภาษาอังกฤษได้ดี จะทำให้เรามีแรงกระตุ้นในการพัฒนาภาษา  เพราะบางมหาวิทยาลัย ไม่ค่อยมีชาวต่างชาติมากนัก ส่วนมหาวิทยาลัยที่ชาวต่างชาติมาเรียนค่อนข้างเยอะ เช่น  Delhi University, JNU Delhi, Pune University, Punjab University and Banaras Hindu University etc. มหาวิทยาลัยเหล่านี้ ขึ้นชื่อว่าอยู่ระดับแนวหน้าของอินเดียการเลือกครูสอนภาษาอังกฤษ: ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในอินเดีย ตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่อินเดียมา ผมแทบจะไม่มีครูสอนภาษาอังกฤษที่เป็นครูแขกหรือคนอินเดียเลย (ขออนุญาตใช้คำว่าแขกนะครับด้วยความเคารพ) ผมเที่ยวเสาะแสวงหาเพื่อนบ้าง ครูบ้างที่เป็นฝรั่ง เพราะผมมีเหตุผล คือเมืองที่ผมอยู่ฝรั่งค่อนข้างเยอะ เลยต้องใช้ทรัพยากรตรงนี้ให้คุ้ม เพื่อให้สอดคล้องกับทรัพยากรที่มีอยู่ แต่ก่อนผมเคยให้อาจารย์ที่ปรึกษาช่วย หาคนช่วยสอนให้ แต่ท่านพูดเองว่า ให้หาคนต่างชาติสอนให้ดีแล้ว เพราะภาษาอังกฤษของคนอินเดียส่วนมากวิบัติ ทั้งๆที่ท่านก็เป็นคนอินเดีย ผมโคตะระซึ้งในน้ำใจแกจริงๆเลย หลายปีแล้วที่ผมเรียนภาษาอังกฤษกับฝรั่งในอินเดีย จ้างเดือนละ 1,000 รูปี โคตะระแพงเลยใช่ไหมครับ หากคิดเป็นเงินไทย ประมาณ 700 บาท บางคนก็ประมาณ 1,500 รูปี ต่อเดือน จากแต่ก่อนแทบฟังฝรั่งพูดไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งทุกวันนี้ ฟังรู้เรื่องขึ้นมานิ๊ดหนึ่ง ดีกว่าแต่ก่อนมาก ที่พูดได้แต่ How are you? I am fine. Thank you and you? 

 อาจารย์บอกว่าไม่มีใครจะเข้าใจธรรมชาติของภาษาอังกฤษได้ดีเท่ากับเจ้าของ ภาษา การออกเสียง กาลเทศะ สำนวน การใช้ ดังนั้น ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่ในท่ามกลางดงแขก แต่ผมก็เลือกที่จะอยู่นอกกรอบ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ และเรียนภาษาอังกฤษกับฝรั่งมากกว่าแขก แต่ส่วนมากจะนำเอาไปเอาสิ่งที่เรียนมานำเอาใช้กับแขก บางประโยคแขกก็ไม่เข้าใจ เราก็ต้องกลับไปใช้ประโยคที่เขามักจะใช้กัน เพราะต่างคนต่างก็ไม่ใช่เจ้าของภาษา ตอนเรียนไม่ค่อยเห็นผล แต่จะเห็นผล ตอนได้คุยกับฝรั่งจริงๆ คือฝรั่งฟังรู้เรื่อง เพราะเราออกสำเนียงชัด ตามคนสอน ตอนอยู่เมืองไทยไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอังกฤษมากเท่าไหร่ แต่พอได้มาอยู่อินเดีย การใช้ภาษาอังกฤษอาจจะไม่มาก แต่ก็ดีกว่าเรียนที่เมืองไทยนิดหนึ่ง ยังพอมีโอกาสได้ใช้บ้าง แต่ถ้าหากใครมีเงินเยอะ ไปอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย ดีกว่าครับ ส่วนอินเดียอาจจะเป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีต้นทุนน้อย หรือคนที่มีสาขาวิชาควรจะมาเรียนอินเดีย เช่น ปรัชญาและศาสนา หรือเรื่องคอมพิวเตอร์ หากใครจบไปจากอินเดียได้ ถือว่าเก่งมาก

มาเรียนภาษาอังกฤษที่อินเดียระยะสั้นๆ: คนไทยมักจะคิดว่าการมาเรียนภาษาอังกฤษระยะสั้นๆ จะทำให้พูดภาษาอังกฤษได้ และก็มองหาประเทศที่เขาพอจะใช้ภาษาอังกฤษ และอินดียก็เป็นหนึ่งในนั้น อย่ามาเลยครับ! เรียนที่เมืองไทยนั้นแหละดีแล้ว การเรียนภาษาต้องเรียน ต้องใช้อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยๆ คุณต้องทุ่มเทเวลาให้กับมันอย่างน้อยๆ ประมาณ 3-4 ปี หากตั้งใจจะมาเรียน เดือนหนึ่งบ้าง สองเดือนหนึ่งบ้าง แล้วหลังจากนั้นหล่ะ ถ้าเรากลับเมืองไทย เราจะพูด จะคุยกับใคร สิ่งที่เรียนมาตลอดระยะเวลา หนึ่งเดือนสองเดือนก็จะลืม เพราะไม่ได้ใช้อย่างสม่ำเสมอ ทางที่ดีก็คือใช้ชีวิตให้มีความเกี่ยวเนื่องกับภาษาอังกฤษบ่อยๆ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ 
หลายปีมาแล้ว เคยมีฝรั่งบอกประโยคทองให้กับผมว่า “การเรียนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดก็คือต้องเรียนด้วยหู อย่าเรียนด้วยตา” หมายความว่า ให้ฝึกฟังบ่อยๆครับ จงพูดอย่างที่ฝรั่งเขาพูด เขาถึงจะเข้าใจในสิ่งที่เราพูด อ่านหนังสือทำให้เราเข้าใจโครงสร้างประโยคและได้คำศัพท์ แต่ไม่สามารถช่วยให้เราเก่งในด้านการพูด แต่การฝึกทักษะในด้านการฟัง ทำให้เราสนทนากับฝรั่งรู้เรื่อง

อะไรๆก็บังกาลอร์: ผมเคยได้รับการสอบถามมาเยอะมาก เกี่ยวกับมาศึกษาที่บังกาลอร์ บ้างก็อยากมาเรียนที่นี้ จริงๆแล้วที่น่ามาเรียนภาษา มีเยอะครับในอินเดีย อาจเป็นเพราะเราอาจจะไม่ทราบ ไม่จำเป็นต้องเรียนที่นี้ที่เดียว ที่ไหนที่คนไทยรู้จักเยอะ ที่นั้นย่อมมีคนไทยอยู่เยอะ สมการง่ายๆ พอมีคนไทยอยู่เยอะ การจับกลุ่มอยู่ด้วยกันก็จะตามมา แล้วสิ่งที่ท่านตั้งใจจะมาเรียนก็คือมาเรียนภาษาอังกฤษ ก็อาจจะไม่ได้ผล เพราะวันๆอาจจะเจอแต่คนไทย พูดคุยแต่ภาษาไทย แล้วจะเก่งภาษาอังกฤษได้อย่างไร ถ้าถามผมว่า แล้วมีที่ไหนบ้าง ที่ไม่มีคนไทย ผมยังนึกไม่ออก หากจะบอกว่า ดาร์จีลิ่ง ธรรมศาลา ฉิมล่า ล้วนแล้วแต่มีคนไทย บางแห่งเด็กไทยกองกันอยู่เป็นร้อยสองร้อยคน

ความกังวล: หลายคนที่ยังไม่เคยมา อินเดียอาจจะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ หากตั้งใจจะมาเรียนและใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย อย่ากังวลให้มากเลยครับ เพราะภายในรั้วมหาวิทยาลัยและข้างนอกมหาวิทยาลัยคุณภาพชีวิตบางรัฐแตกต่าง กันมาก เพราะสภาพความเป็นอยู่ในมหาวิทยาลัยดีกว่า หมายถึงบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัย บางมหาวิทยาลัยเป็นป่า มีต้นไม้ มีสัตว์นานาชนิด ที่เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นที่เมืองไทย แต่พอออกนอกมหาวิทยาลัย บรรยากาศอาจจะดูแย่กว่าข้างในยู ส่วนอาหารการกิน ทำกินเองดีที่สุด ขนมาทุกอย่างเท่าที่พอจะขนมาได้ คะนอร์ ผงชูรส น้ำปลา (บางเมืองก็มีขายแล้ว) กะปิ ทำให้ช่วยประหยัดและได้ทานอาหารที่เราทำเองด้วยสิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟัง มันคือความจริงอีกด้านหนึ่ง ที่ผมได้เจอมาจากการได้มาเรียนในอินเดีย 

เกือบระยะเวลา 10 ปี มีคนมักจะถามผมอยู่เสมอว่า มาเรียนทำไมนานจัง เรียนเอาโล่หรือ ผมมีเหตุผลหลายประการที่จะตอบเพื่อทำให้ตัวเองดูดี กับการเวลาที่สูญเสียไป บางคนอาจจะได้อะไรเยอะแยะเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ผมเรียนอยู่ แต่สิ่งหนึ่ง ที่อาจารย์มักจะพูดกรอกหูเสมอว่า “ถ้าอยากได้ใบประกาศไปเอาใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแก ถ้าอยากได้ความรู้และใบประกาศ เราค่อยมาเป็นอาจารย์ลูกศิษย์กัน” “คุณรู้สิ่งที่คุณเรียนมา และสามารถอธิบายให้คนอื่น เป็นภาษาอังกฤษได้หรือยัง” นี้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลของการเรียนเอาโล่ (10 ปีs)

สิ่งหนึ่งที่ผมเฝ้ามองเห็นความแตกต่างของคนที่มา เรียน คือ มาเหมือนกัน แต่การมาต่างกัน เรียนเหมือนกัน แต่ผลการเรียนต่างกัน อยู่เหมือนกัน แต่การอยู่แตกต่างกัน จบเหมือนกัน แต่คุณภาพแตกต่างกัน(มาก) ครับ นี้แหละ เรื่องลับที่ไม่ค่อยลับ ที่อยากจะเล่าสู่กันฟังของคนที่มาเรียนที่อินเดีย