กาลครั้งหนึ่งสองสาม ณ โรงพยาบาลแขก

กาลครั้งหนึ่งสองสาม ณ โรงพยาบาลแขก
    

ผมกำลังรวบรวมความทรงจำทั้งหมดที่เคยผ่านประสบการณ์เกี่ยวกับการเข้าโรงพยาบาลแขกมาถ่ายทอดเล่าให้ฟัง อันที่จริงความเจ็บไข้ได้ป่วย มันเป็นสมบัติคู่มนุษย์มานมนาน พูดกันแบบตรงๆไม่มีมนุษย์หน้าไหน ที่ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้าใครไม่ป่วยได้ ยิ่งเป็นการดี แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ใครเล่าหนอจะหลีกหนีได้ ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสมาโรงพยาบาลแขก ผมมักจะพูดกับตัวเองเสมอว่า ชาตินี้ตูจะไม่ขอมาโรงพยาบาลที่นี้อีก แต่ส่วนมากก็ได้มาเกือบทุกปี มาเพราะตัวเองป่วยบ้าง มาส่งคนอื่นบ้าง เมื่อปี 2546 ก่อนที่ผมจะได้มาเป็นนักศึกษา กฎข้อหนึ่งของมหาวิทยาลัยคือนักศึกษาต่างชาติทุกคนไม่ว่าหน้าตาจะดีหรือขี้เหร่ต้องตรวจเลือด HIV ก่อน ไม่ว่าคุณจะไปตรวจเลือดที่ไหนมาก็ตาม เขาไม่ยอมรับ นอกจากสถาบันคุณวุฒิที่เขาไว้ใจได้เท่านั้น นั่นก็คือ สถาบันตรวจเลือดของเขาเอง ก่อนที่จะได้เป็นนักศึกษาอย่างภาคภูมิใจ(มาก) ห้องตรวจเลือดที่นี้ ผมมาคราวใด ผมต้องสยองขนลุกทุกครั้งไป คือผมเป็นคนกลัวเข็มและเลือดมาก เห็นเลือดและเข็มคราวใด มักจะหลับตา ทำหน้าตาราวกับคนเสียวฟัน สิ่งที่ทำให้ความกลัวทวีรุนแรงมากขึ้นก็คือบรรยากาศภายในห้อง  สภาพห้อง หน้าตาคนที่จะเอาเข็มมาแทงและดูดเลือดเราออกไป พี่แกหน้าตาเคร่งเครียดมาก นี่คือองค์ประกอบของความวังเวงภายในห้อง
                วันแรกที่ผมไปโรงตรวจเลือด ด้วยความที่เกิดมาเป็นลูกอีตาช่างสังเกต มองดูไปรอบๆ ตกลงนี้มันห้องเก็บของหรือว่าห้องตรวจเลือดกำเดาวะเนี่ย ผมสังเกตดูตั้งแต่บันไดก้าวแรก ตามฝาผนังห้อง ตามหัวมุมบันได เลือดไหลเป็นทาง แต่ดูไปดูมา เอ้ย! นี่มัน น้ำหมากนี่หว่า ไม่น่าเชื่อตามบันไดโรงพยาบาลมีรอยน้ำหมากด้วย ผมรู้สึกเคืองถึงแขกที่มันชอบถมน้ำหมาก ไม่เป็นที่เป็นทาง มรึงทำไปได้ นี่โรงพยาบาลนะโว๊ย มรึงไม่ให้เกรียติหมอหรือพยาบาล ก็ให้คนเกียรติคนป่วย คนแก่ คนชรา คนกำพร้าบ้าง แม้ในที่สาธารณะมันยังกล้ามาถมน้ำหมากขากน้ำลาย นิสัยผมเดินตามรอยน้ำหมากมาได้สักพัก ก็ได้มาถึงห้องแห่งหนึ่ง ด้านหน้ามีรายชื่อรายละเอียดของห้องเป็นภาษาอังกฤษ ผมก็โผล่หน้าเข้าไป เพื่อยิ้มทักทาย แต่กลับพบว่าไม่มีแขก ยิ้มตอบรับสักกะคน เพราะไม่มีใครอยู่ในห้องเลย ไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ผมกล้านั่งยันได้เลยว่า นี่มันห้องเก็บของชัดๆ สักพักหนึ่ง ผมคิดว่าน่าจะเป็นพนักงานเดินมา คิดว่าไม่น่าใช่หมอ เหตุที่ผมรู้เพราะว่ามีคนทักว่า ผมมีองค์ วันนี้องค์น่าจะลงเพราะมีความรู้สึกแม่นมาก มันมาถามผมว่า ยูมาทำอะไรที่ห้องเก็บของ โน้นห้องตรวจเลือดไปอีกห้องหนึ่ง อ้าวเหรอ!
พอไปถึงห้องดูดเลือดเขาก็ให้ผมกรอกแบบฟอร์มเอกสาร ภาษาที่ใช้ในเอกสารมีทั้งฮินดีและภาษาอังกฤษ และเอกสารของคนอินเดียที่คงเป็นเอกลักษณ์ของเขาอย่างหนึ่ง เขามักจะระบุชื่อพ่อของเราด้วย เล่นถึงพ่อเลย เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เพราะประชากรเขามีเยอะมาก บางครั้งก็อาจจะมีชื่อนามสกุลคล้ายๆกัน ก็ต้องมีการระบุชื่อพ่อด้วย ผมอุตส่าห์ปกปิดมานานว่าพ่อผมคือใคร สุดท้ายวันนี้ก็คงไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ต้องกรอกชื่อพ่อด้วยลงในเอกสารด้วยความจำใจ ผมก็เห็นว่ามันแปลกดีเลยเล่าสู่กันฟัง พอกรอกเอกสารเสร็จ พนักงานคนนั้นก็บอกให้ผมไปซื้อเข็มฉีดยาและอุปกรณ์ในการตรวจเลือด ที่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย เพราะมีร้านขายยาเต็มไปหมด โอ๊วววแม่เจ้า! อากาศร้อนก็ร้อน ยังเสือกให้ตูเดินไปซื้อมาอีก ผมตกใจในระบบของที่นี้มาก ตอนแรกคิดว่ามีอุปกรณ์ให้ หรืออย่างน้อยๆก็มีห้องคล้ายๆร้านค้าสหกรณ์ อยากได้อะไร อยากซื้ออะไร ก็ให้ไปซื้อเอามา อะไรทำนองนี้ นี่ประมาณว่าตรวจเลือดอีกที่หนึ่ง แล้วให้ไปซื้ออุปกรณ์ตรวจเลือดอีกที่หนึ่ง แล้วที่จะไปซื้อ มันก็ไม่ใช่ใกล้ๆ เกือบ 1 กิโล ผมต้องหอบสังขารไปหน้ามหาวิทยาลัย เพื่อไปซื้ออุปกรณ์ตรวจเลือด จากโรงงานตรวจเลือดเดินไปหน้ามหาวิทยาลัย ประมาณ 1 กิโล ใช้เวลาในการเดินประมาณ 2 ชั่วโมง บางคนใช้เวลาในการเดินไปกลับแค่ 30 นาทีเท่านั้นเอง ผมใช้เวลาในการเดินไปกลับ ประมาณ 2 ชั่วโมงกับอีก 15 นาที เพราะต้องแวะกินข้าวด้วย กว่าจะมาถึงห้องตรวจเลือด  พนักงานหายไปกันหมด เวรกรรม มาตรงเวลาแขกหยุดพักเที่ยงพอดี เวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสอง ส่วนมากเขาจะพักทานอาหารเที่ยง ผมก็ยืนรอ นั่งรอ เดินรอ กะว่าจะนอนรอตรงม้านั่งด้านนอก กลัวเสียภาพพจน์ เสียยี่ห้อไทยแลนด์หมด ผมก็เลยไปนั่งหลับที่โซฟาในห้อง สะดุ้งตื่นขึ้นมา พนักงานบอกว่า ให้มาใหม่พรุ่งนี้ ผมมองไปดูเวลา มันเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงที่เขาจะหยุดทำงาน ผมก็บอกว่า มันยังมีเวลา แต่เขาก็บอกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ พอได้ยินคำว่า ให้มาใหม่พรุ่งนี้ ปรอทโทสะมันวิ่งผ่านอวัยวะน้อยใหญ่มารวมกันที่ปลายเท้า ผมบอกตามตรง ผมเกลียดมากไอ้คำๆนี้ คือ Tomorrow come again แขกเขามักพูดในยามที่ปัดภาระหรืองานที่เขารับผิดชอบ เหมือนทำงานขอไปที ผมบอกว่าคุณลงทุนเสียสละเวลาแค่ไม่ถึง 5 นาที มันก็เสร็จแล้ว กูรีบจริงๆนะครับ กว่าจะตีหน้าเศร้าเล่าความจริงให้แขกฟัง ผมเพิ่งมาอยู่อินเดียได้ไม่นาน ใครจะไปรู้ว่า อีนี่กินข้าวกี่โมง หยุดทำงานกี่โมง แขกเขาฟังเรานะ แต่เขาไม่ทำตาม เขาก็บอกให้ผมมาใหม่พรุ่งนี้ 11.00 โมงเช้า ยังมีหน้ามาขอบคุณผมอีกนะ Thank you very much มันขอบคุณเรื่องอะไร ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ได้แต่ยิ้มและตอบในใจ เออ..มาย เวรกรรม ผมอยากจะทำประชดมันจริงๆ คือมาตั้งแต่ประตูยังไม่เปิด ดูสิมันจะว่าไง นี้เป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศภายในโรงพยาบาลของแขก ไม่มาก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเงื่อนไขของมหาวิทยาลัย และที่ปวดหัวและปวดตับมากที่สุด บางคณะก็เอาผลตรวจเลือด HIV บางคณะก็ไม่เอา คือมันไม่มีมาตรฐานอะไรมาวัดสักอย่าง บางปีก็เอา บางปีก็ไม่เอา ไม่มีใครตรัสรู้อะไรได้เลย มหาวิทยาลัยเปลี่ยนกฎทุกปี กัมมุนา วัตติ โลโก ชีวิตนักศึกษาขึ้นอยู่กับกฎมหาวิทยาลัยจริงๆ
คราวหนึ่ง ผมชอบนอนบนโชฟา และโซฟามันก็สั้นกว่า เวลานอนผมก็มักจะนอนคดตัว ก็เลยเป็นเหตุให้คืนหนึ่ง ขณะนอนหลับ ผมรู้สึกปวดหลังมาก นอนร้องไห้จนน้ำตาไหลขึ้นหน้าผาก เพราะนอนเอาหัวลง เห็นความทุกข์ที่เกิดจากสังขารตัวเอง ผมยืนตัวตรงไม่ได้ ต้องเดินก้มตัว มองไปที่นาฬิกาแขวนตรงฝาผนัง เวลาเกือบตีสอง ทำอะไรก็ไม่ได้ครั้นจะไปเรียกเพื่อนให้ไปส่งโรงพยาบาล ก็เห็นว่ายังดึกมาก และคิดว่าอาจจะเป็นช่วงที่เพื่อนๆกำลังพักผ่อน สมบัติผู้ดีวิ่งพล่านเข้ามาในความรู้สึก ไม่อยากรบกวนใครๆให้ลำบาก แต่ด้วยความที่ทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหว จึงคลานออกจากห้องตัวเอง เพื่อไปเรียกเพื่อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 200 เมตร เพื่อนเห็นสภาพผม ตกใจมาก รีบปั่นจักรยาน พาไปส่งโรงพยาบาล พอไปถึงด้านในโรงพยาบาล ผมถึงกับตกใจกับภาพที่เห็น เห็นคนยืนต่อแถวรอกันยาวเหยียดประมาณเกือบ 300 คน บางคนยืนรอ บางคนนั่งรอ บางคนถึงแม้ตัวเองจะไม่อยู่ แต่ก็ถอดรองเท้าทิ้งเอาไว้ เพื่อเป็นนัยยะให้คนอื่นรู้ว่า ที่นี้กูจองนะโว้ย พูดไปก็หาว่าโม้เหมือนมีปาฏิหาริย์นิดๆ อาการปวดหลังของผมรู้สึกดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด พูดกับเพื่อนว่า แล้วคิวของเราจะเป็นคนที่เท่าไหร่วะเนี่ย ภาพค่ำคืนนั้นก็ยังคงเป็นภาพที่ยังคงประทับไว้ในความทรงจำของผมเสมอ ตูไม่น่ามาเลย นึกๆไปก็สงสารแขกเหล่านั้นเหมือนกัน หากใครคนใดคนหนึ่งในนั้นเป็นญาติเรา ตูจะดีใจหรือเสียใจ ที่คนเจ็บป่วย ต้องมายืนต่อแถว เกือบตี 2 เรื่องที่ผมเล่าให้ฟัง อ่านแล้วก็อย่าเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังต่อนะครับ ถือว่าเป็นความลับ อย่านำเอาไปแพร่งพรายให้คนอื่นรู้เด็ดขาด
เมื่อเราพิจารณากันแล้วว่าเมื่อไปโรงพยาบาลโดยทั่วไป ISO 9000 ยังไม่ผ่าน นักศึกษาบางคนก็เปลี่ยนไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน คุณภาพพอๆกัน แตกต่างกันอย่างมากก็ตรงค่ารักษาเท่านั้นเอง ค่าห้อง ค่าโทรศัพท์ ค่าห้องครัว ค่าตู้เย็น ค่าหมอมาเช็คดูอาการ ค่ายา เข้าโรงพยาบาล 2 อาทิตย์ (14 วัน) หมดค่าไปนอนโรงพยาบาล 6 หมื่นกว่ารูปี เพียงเพราะไปถอนฟัน 2 ซี่ ผมเคยมีโอกาสได้พูดคุยกับแขกที่เขามาใช้บริการทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน บางรายต้องเดินทางมาจากต่างรัฐ เพราะเขาคิดว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ดีที่สุด มันเป็นความหวังของคนที่มีทางเลือกไม่มากนัก ผมเคยคิดว่า หากผมเป็นเขาชีวิตผมจะเป็นอย่างไร ผมเคยมองไปรอบข้างตัวเอง ผมเห็นสภาพห้องนอน สภาพโรงพยาบาล ทำให้ผมปลงกับชีวิตไปได้เยอะมากๆ ผมบอกตามตรงว่า ที่เขาว่าดีที่สุดสำหรับเขา แต่สำหรับส่วนตัวผม อนามัยบ้านเราอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำไป แต่เพราะเขามีทางเลือกแค่นี้จริงๆ ผมเปรียบเทียบแขกเหล่านี้เหมือนสิ่งมีชีวิตในน้ำ คือเขารู้เฉพาะสิ่งที่เป็นไปภายในน้ำ แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าบนบกยังมีอะไรอีกมากมายนัก ที่สิ่งมีชีวิตในน้ำยังไม่รู้
                ในคราวล่าสุด ผมมีโอกาสได้พาน้องที่รู้จักกันเข้าโรงพยาบาล เป็นกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน ต้องให้รถ Emergency มารับ เป็นรถตู้ยี่ห้อซูซิกิ คันเล็กๆ พอไปถึงโรงพยาบาล รถเข็นก็ไม่มี พวกผมก็ต้องอุ้ม ผมยกที่แขน อีกสองคนก็ยกขาคนละข้าง ก้นคนป่วย จะลากดินอยู่แล้ว นี่หากน้ำหนักคนป่วยเกินร้อย คนยกเหนื่อยแน่นอน แขกคนอื่นๆ ก็ยืนดู ตำรวจก็ยืนดู ป้ายบอกทางก็ไม่ค่อยชัดเจน ไม่รู้ห้องไหน ไปทางไหน บางคนก็รีบมามุงดู  เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ยังมีกะจิตกะใจมามุงดูอีก เชื่อแขกเลย หากมือว่างจะตบบ้องหูโชว์สักหน่อย ไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือสังคมแม้แต่น้อย รู้ไหมว่าตูหนักมาก ผมบอกตามตรงว่า บรรยากาศภายในโรงพยาบาล ทำให้ผมสัมผัสถึงความกลัว กลัวการสูญเสียคนที่เรารัก พอไปถึงห้องคนป่วยฉุกเฉิน เห็นญาติคนป่วยนอนรออยู่ด้านหน้าห้องเกือบ 20 กว่าครอบครัว หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย คนป่วยบางคนก็นอนร้องครวญคราง พอเข้าไปในห้อง ซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ มีคนป่วยนอนเต็มไปหมด หมอก็เข้ามาถามว่า คนป่วยเป็นอะไร ผมก็บอกว่า เขาเป็นโรคคล้ายๆหืดหอบหรือภูมิแพ้อะไรสักอย่าง หายใจไม่สะดวก สถานการณ์ก็ยังไม่เครียดเท่ากับ บรรยากาศภายในห้อง โคตะระวังเวงเลย เสียงคนร้องไห้ เสียงคนครวญครางด้วยความเจ็บปวด หมอมาตรวจดูอาการคราวใด มาเจาะเอาแต่เลือด เจาะแล้วเจาะอีก กว่าจะได้รักษา หมดเลือดไปเป็นลิตรๆ ผมพูดประชดเฉยๆ อันที่จริงเลือดที่สูบไปก็คงไม่ถึงลิตรหรอก ไปติดต่อกับหมอกับพยาบาลก็ยาก พยาบาลหน้าก็บูด เฉพาะคืนที่ผมนอนเฝ้าคนป่วย เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง มีคนตายเกือบ 3-4 คน บางครั้งผมก็คิดนะ ว่าหมอที่นี้น่าจะเก่ง เพราะคนอินเดียเยอะมาก กรณีของโรคก็น่าจะมีมาก คือมันมีกรณีของโรคให้ศึกษาเยอะ แต่ผมบอกตามตรงว่าหากคนอินเดียเขามีทางเลือกที่ดีกว่านี้ ใครอยากจะมาใช้บริการโรงพยาบาลแบบนี้ ผมเริ่มเข้าใจสภาพของคำว่า คนเหมือนกันแต่คุณค่าของคนไม่เหมือนกัน เตียงข้างๆผู้หญิงก็โดนน้ำร้อนลวก คือโดนลวกทั้งตัว เหตุที่ผมไปสอบถาม ไม่ใช่ว่าเป็นคนสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านนะ แต่หากไม่ได้รู้ มันรู้สึกหงุดหงิด แค่อยากรู้เฉยๆ แม่ผัวต้มน้ำร้อนลวกลูกสะใภ้ เหตุเพราะจ่ายค่าสินสอดไม่ครบ จิตใจคน ทำด้วยอะไร คนสมัยนี้ อีกเตียงสาวอินเดียกินยากะจะฆ่าตัวตาย ส่วนอีกเตียงคงจะต้องเป็นนักโทษแน่ๆ เพราะขนาดนอนในโรงพยาบาลตำรวจมานอนคุมหลายนายเลย แต่ที่ผมแน่ใจก็คือตรงเท้าและมือมีการตรวนโซ่ด้วย เตียงผู้ป่วยก็ไม่ครบ บางคนก็ต้องนอนพื้น ให้ญาติที่มาเยี่ยม ยืนถือสายน้ำเกลือ แต่เมื่อได้มาอยู่สถานการณ์แบบนี้แล้ว ผมบอกตามตรง ต่อให้ฝันผุ ตูก็จะขอกลับไปถอนที่เมืองไทย โดยไม่ต้องรอให้หมอลักษณ์ฟันธง หมอกฤษคอนเฟริ์ม ว่าผุจริงหรือแค่ปวดฟันเฉยๆ และที่สำคัญผมเห็นหนูด้วยครับ It is a rat มันคือหนู (จริงๆนะ) ผมมาโรงพยาบาลในครั้งนี้ ผมปลงกับชีวิตได้เยอะมาก กลิ่นยาแตะจมูกเป็นพักๆ นี่หากไม่มีไม่มีใครอยู่เลย เหลือแต่ผมคนเดียวยืมโรงพยาบาลแห่งนี้ เช่าทำหนังผีได้อย่างสบายเลย บรรยากาศน่ากลัวมาก แม้กระทั่งทางไปห้องน้ำก็ยังดูน่ากลัว ผมอดสงสัยไม่ได้ใคร๊มันมาถมน้ำหมากในห้องน้ำ คืออย่างน้อยๆก็น่าจะยกเว้นห้องน้ำในโรงพยาบาลบ้าง แล้วก็มีใครไม่รู้ดันลืมถอดกางเกงในสีดำ size L ทิ้งเอาไว้ในห้องน้ำอีก เชื่อแล้วว่าที่นี้ เจ้าที่แรง....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น